กู้หมิงเค่อเองก็รู้สึกว่านี่ทำลายจารีตอันดีงามจึงอาศัยการหันกายไปลูบหลังให้หลี่เจาเกอ หลบเลี่ยงการแสดงอุจาดตานั้นเสีย ทางด้านฮ่องเต้กำลังชมดูอย่างออกรส จู่ๆ ได้ยินเสียงหลี่เจาเกอไอโขลกก็ถามด้วยความฉงน “เจาเกอ เป็นอะไรไปน่ะ”
หลี่เจาเกอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีการแสดงพรรค์นี้ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะปรับอารมณ์ได้ “เมื่อครู่ลูกดื่มน้ำชาเร่งรีบเกินไป ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยเพคะ”
แม้นางกล่าวเช่นนี้ ทว่าสายตายังคงจงใจเลี่ยงการร่ายรำตรงกึ่งกลางโถง นางข้าหลวงผู้หนึ่งเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มเย้า “องค์หญิงเซิ่งหยวนกับราชบุตรเขยครองเรือนกันมาสองปีแล้ว ไฉนองค์หญิงทรงมองเรือนร่างบุรุษจึงยังสะเทิ้นอายเพียงนี้เล่า”
หลี่เจาเกอชะงักกึก ก็นางไม่เคยเห็นบุรุษที่ไม่สวมเสื้อผ้านี่ จะให้หน้าไม่เปลี่ยนสีได้อย่างไรกัน คนอื่นๆ ในงานได้ยินเช่นนี้ต่างมองมาอย่างสนใจใคร่รู้ นางข้าหลวงเห็นสีหน้าของหลี่เจาเกอก็ป้องปากเอ่ยปนหัวเราะ “ดูองค์หญิงเซิ่งหยวนยังทรงปล่อยวางไม่ได้ คล้ายไม่มีประสบการณ์อันใดด้านนี้เลย”
กู้หมิงเค่อลอบขมวดคิ้ว กำลังจะพูดจาก็ได้ยินหลี่เจาเกอกล่าวขึ้นก่อน “ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ไม่ชินที่จะมองบุรุษอื่นนอกจากราชบุตรเขย”
นิ้วมือของกู้หมิงเค่อแข็งค้าง ไม่อาจตอบสนองชั่วขณะ ผู้คนห่วงแต่จะป่วนสถานการณ์ ไม่ทันไรกู้หมิงเค่อก็ถูกนางข้าหลวงอีกคนยิ้มทัก “เอ๊ะ ตุลาการใหญ่กู้หน้าแดงแล้วใช่หรือไม่”
หลี่เจาเกอเอ่ยประโยคนั้นจบ ตนเองยังกระดากแทบแย่ ไม่กล้าจะหันไปมองสีหน้าของกู้หมิงเค่อเลย กระทั่งพลันได้ยินผู้อื่นทักว่ากู้หมิงเค่อหน้าแดง หลี่เจาเกอจึงหันขวับไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ
จริงหรือหลอกกันนะ กู้หมิงเค่อถึงกับหน้าแดงเป็น?
ใบหน้าของกู้หมิงเค่อขาวยิ่งยวด เมื่อเจือสีแดงแม้น้อยนิดก็จะแลดูแสนเด่นชัด ยิ่งพอเขาสบกับสายตาของหลี่เจาเกอ สีแดงก็ยิ่งแผ่ลามจรดติ่งหู รอบทิศมีแต่เสียงหัวเราะของผู้ที่ได้ชมเรื่องสนุก หลี่เจาเกอเองถูกมองจนขัดเขินไม่แพ้กันจึงรีบเอ่ยแก้ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ในเวลาส่วนตัวใต้เท้ากู้สุภาพอย่างมาก”
จบคำหลี่เจาเกอรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังกำกวมอยู่บ้างจึงอธิบายเสริมโดยเฉพาะ “ข้าไม่ได้กลบเกลื่อนนะ เขาสุภาพจริงๆ ไม่ใช่สุภาพปลอมๆ…”
ยิ่งขีดแก้ยิ่งดำเลอะ กู้หมิงเค่อจึงเลือกขนมเกาลัดในจานชิ้นหนึ่งใส่เข้าปากหลี่เจาเกอโดยตรงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หลี่เจาเกอไม่ทันตั้งตัวถูกใส่ขนมเข้ามาหนึ่งคำ คำอธิบายที่เหลือจึงไม่อาจพูดออกมาจากปากได้ คนทั่วโถงเห็นเช่นนี้ก็พากันหัวเราะครืน นางข้าหลวงซับหางตาที่หัวเราะจนน้ำตาเล็ด “พวกหม่อมฉันเข้าใจแล้ว ยามที่ตุลาการใหญ่กู้อยู่กับองค์หญิงเป็นการส่วนตัวมีแต่ความละมุนละไม ตุลาการใหญ่กู้ติว่าองค์หญิงทรงแย้มพรายมากไป นี่จึงไม่ยอมให้พวกเราได้ฟังแล้ว”
หลี่เจาเกอรู้สึกว่าตนเองถูกปรักปรำสาหัส ได้แต่กินขนมในปากไปเงียบๆ ครั้นนางเพิ่งจะกินหมด ไม่ทันได้ดื่มน้ำสักคำก็ถูกกู้หมิงเค่อใส่เข้าปากมาอีกชิ้น
กู้หมิงเค่อกลัวมากจริงๆ ว่านางจะพูดต่อ
ในปากหลี่เจาเกออมขนมหนึ่งชิ้น เบิกตาโตมองกู้หมิงเค่อ นี่เขาบ้าไปแล้วหรือ
กู้หมิงเค่อรู้สึกเช่นกันว่าหลี่เจาเกอบ้าไปแล้ว เขาปรายตามองนางอย่างสงบ เอ่ยด้วยรูปปาก “กินให้มาก พูดให้น้อย”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 2568)