จุติรัก พลิกชะตาร้าย
ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 151.1-151.2
บทที่ 151-1 คนรู้จักเก่าแก่
ตอนฮ่องเต้อู่จ้าวเพิ่งครองราชย์ หลางหยาอ๋องกับเยวี่ยอ๋องเคยก่อกบฏ ทว่าไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เหตุกบฏสองอ๋องหนนั้นหากกล่าวว่าถูกทัพราชสำนักปราบปราม มิสู้กล่าวว่าสองอ๋องไร้สามารถ พาตนไปถึงที่ตายเอง
บัดนี้เข้าสู่รัชศกฉุยก่งปีที่สาม ในนครเสินตูการเมืองมั่นคง ในท้องที่ต่างๆ คลื่นลมสงบ การปกครองของฮ่องเต้หญิงเข้าร่องเข้ารอยตามลำดับ ช่วงเวลานี้จึงไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุกบฏภายในแคว้นจะปะทุขึ้นอีกครา
ซ้ำเป็นเมืองหยางโจวที่เชื่อมต่อเหนือใต้ มั่งคั่งเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า
เดือนสอง รายงานด่วนทางทหารส่งมาถึงนครเสินตู หลี่เจาเกอกลับเข้าจวนแล้ว พลันได้ยินว่าในวังเรียกตัวจึงรีบเปลี่ยนชุดเข้าวังไปกับกู้หมิงเค่อ
ฮ่องเต้เรียกประชุมคณะเสนาบดีกับขุนนางระดับสูงกลางดึกก็เพื่อจะหารือเรื่องกบฏหยางโจว ในตำหนักต้าเยี่ยบรรยากาศแสนหนักอึ้ง รองเจ้ากรมทหารกล่าว “ทัพกบฏก่อการในนามของอู๋อ๋อง กระจายหนังสือปลุกระดมไปทุกเมืองทุกอำเภอ รวบรวมทหารได้กว่าสิบหมื่นนายภายในสิบวัน หยางโจวอุดมสมบูรณ์ ทั้งมีคลองขุดซึ่งเชื่อมต่อเหนือใต้ หากปล่อยปละเกรงว่าจะเกิดภัยใหญ่”
เหตุกบฏหนนี้ต่างจากหนก่อน เหตุกบฏสองอ๋องเป็นเพียงฝูงอีกาไร้ระเบียบ เพียงไม่กี่วันสั้นๆ ก็ทำผิดพลาดร้ายแรงหลายอย่าง ชักนำหายนะมาสู่ตนเองอย่างรวดเร็ว ทว่าเหตุกบฏหยางโจวครานี้เป็นขั้นเป็นตอน เร่งรีบทว่าไม่สับสน เห็นชัดว่ามีระบบแบบแผนล่วงหน้า
รองเจ้ากรมอีกคนกล่าว “อู๋อ๋องอยู่ที่โซ่วโจว เหตุใดจู่ๆ ไปปรากฏตัวที่หยางโจวได้ พวกกบฏหาคนปลอมตัวเป็นอู๋อ๋องใช่หรือไม่”
ในใจหลายคนมีข้อสงสัยนี้ ฮ่องเต้แม้พระราชทานสุราพิษเป็นการลับ ทว่าความเคลื่อนไหวใหญ่โตถึงขั้นมีคนตายเช่นนี้ย่อมจะปกปิดไม่อยู่ พักนี้คนในราชสำนักต่างได้ยินข่าวแว่วๆ ว่าอู๋อ๋องกับชายาล้มป่วย เกรงว่าอีกไม่นานเท่าใดฮ่องเต้ก็คงจะประกาศว่าคนทั้งสอง ‘ป่วยตาย’
รองเจ้ากรมทหารส่ายหน้า “ก่อนที่เจ้าเมืองหยางโจวจะถูกสังหารเคยส่งจดหมายลับออกมา ความว่าได้เห็นอู๋อ๋องจริงๆ หากเป็นผู้อื่นปลอมตัว เจ้าเมืองหยางโจวน่าจะเตือนมาในจดหมาย ทว่านอกจากเตือนราชสำนักว่ามีเหตุไม่ชอบมาพากลก็ไม่ได้เอ่ยถึงข้อสงสัยในตัวอู๋อ๋องเลย คนผู้นี้หากมิใช่ปลอมได้แนบเนียนมากก็จะต้องเป็นอู๋อ๋องตัวจริง”
ภายหลังหลี่สวี่ไปถึงหยางโจว ได้อ้างพระราชโองการลับของฮ่องเต้ สั่งให้เจ้าเมืองหยางโจวเปิดคลังของที่ว่าการ ทั้งบอกว่าจะต้องส่งทหารไปปราบปรามเมืองเกาโจว เจ้าเมืองหยางโจวรู้สึกชอบกลจึงเขียนจดหมายไปรายงานราชสำนัก ปรากฏว่าจดหมายเพิ่งจะส่งออกไปเขาก็ถูกสังหารแล้ว ขุนนางอื่นที่ไม่ยอมศิโรราบล้วนถูกตัดศีรษะต่อหน้าผู้คน บัดนี้ขุนนางทั่วเมืองหยางโจวเปลี่ยนเป็นคนของทัพกบฏแล้ว ราชสำนักจึงไม่อาจสืบความเคลื่อนไหวในกำแพงเมืองได้อีกแม้เพียงนิด
คนในตำหนักต่างถกกันว่าที่แท้อู๋อ๋องเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง เป็นตัวตัดสินว่าขั้นถัดไปจะใช้ยุทธวิธีใดปราบกบฏหยางโจว หลี่เจาเกอไม่มีหลักฐาน แต่กลับรู้สึกว่าเป็นหลี่สวี่ตัวจริง
ก่อกบฏเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ นับแต่โบราณมาล้วนถูกผู้คนประณาม ทัพกบฏหมายให้การกระทำของตนเองสมเหตุสมผลจึงมักอ้างนามของใครสักคน เช่นตอนเฉินเซิ่งกับอู๋ก่วงก่อการต้องอ้างนามของฝูซู* ทัพกบฏหยางโจวก็ทำนองเดียวกัน แต่หากพวกเขาจะหาคนมาสวมรอยเป็นอู๋อ๋องจริง สวมรอยเป็นหลี่ไหวจะไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดจะต้องสวมรอยเป็นหลี่สวี่ที่ไม่มีความชอบธรรมเล่า
ดังนั้นความคิดของหลี่เจาเกอจึงโน้มเอียงว่าคนผู้นั้นคือตัวหลี่สวี่จริง ทว่าปัญหาก็อยู่ตรงนี้ด้วย หลี่สวี่ถูกฮ่องเต้กักบริเวณในจวนอู๋อ๋องที่เมืองโซ่วโจว ด้วยอุปนิสัยของฮ่องเต้ องครักษ์ที่เฝ้าคุมข้างตัวหลี่สวี่ย่อมมีไม่น้อยเด็ดขาด เช่นนั้นหลี่สวี่หลบหนีไปเมืองหยางโจวโดยที่ผีสางเทพเจ้าไม่ล่วงรู้ได้อย่างไร
ต่อให้ผู้เฝ้าคุมเผลอไผลชั่วแล่น หลี่สวี่หลบหนีมานานป่านนี้ พวกเขาก็ยังไม่ค้นพบเชียวหรือ
ขณะที่ขุนนางเบื้องล่างแท่นยกพื้นถกกันอยู่ว่าอู๋อ๋องเป็นตัวจริงหรือปลอม ฮ่องเต้ซึ่งนั่งอยู่เบื้องบนสุดอ่านหนังสือปลุกระดมของฝ่ายกบฏที่ส่งมาจากแนวหน้าอย่างเย็นใจ อ่านจบค่อยชี้หนังสือปลุกระดมพลางเอ่ยกับผู้คนเบื้องล่าง “นี่ก็คือความบกพร่องในหน้าที่ของพวกเจ้า หนังสือปลุกระดมนี้เขียนได้ลื่นไหลเปี่ยมวรรณศิลป์ ผู้เขียนจะต้องเป็นคนเก่งที่หาได้ยาก พวกเจ้าในฐานะเสนาบดีกลับไม่ได้ค้นหาคนเก่งและมอบหมายงานสำคัญแก่เขา ถึงกับปล่อยให้เขาติดตามโจรกบฏไประเหเร่ร่อน เป็นความผิดพลาดของพวกเจ้าโดยแท้”
ในห้วงที่บ้านเมืองระส่ำระสายหนัก ฮ่องเต้ไม่รุ่มร้อนใจเรื่องกบฏ กลับยังชมเชยผู้เขียนหนังสือปลุกระดมว่ามีความสามารถ เหล่าขุนนางฟังแล้วรีบประสานมือคำนับ ขานรับคำตำหนิของฮ่องเต้ หลี่เจาเกอเองก็คำนับตาม
ภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้ายังไม่สะทกสะท้าน นี่สิท่วงทีของผู้เป็นเจ้าเหนือหัว เมื่อฮ่องเต้เริ่มต้นเช่นนี้ จิตใจของผู้คนในตำหนักจึงสงบมั่นคงขึ้น
หลี่เจาเกอคิดในใจ…ฮ่องเต้ช่างสมกับเป็นผู้ที่ปูทางสู่บัลลังก์มาสิบปี ยังคงทำใจให้นิ่งได้ เมืองหยางโจวก่อกบฏ พระองค์มีหรือจะไม่ร้อนใจ หากพระองค์ไม่ร้อนใจจริงๆ คงไม่เรียกกลุ่มขุนนางเข้าวังมากลางดึกหรอก
แต่เพราะหลี่สวี่ด่าประณามพระองค์ว่าปล้นชิงบัลลังก์ ปกครองอำมหิต และอ้างการกอบกู้ราชวงศ์ถังของสกุลหลี่มาก่อกบฏต่อพระองค์ ยิ่งเป็นห้วงเวลาเช่นนี้พระองค์ก็ยิ่งต้องเยือกเย็น แสดงท่วงทีของผู้เป็นฮ่องเต้ออกมา หากพระองค์โกรธเกรี้ยวเดือดดาล กลับจะเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ด่าประณามในหนังสือปลุกระดมนั้นไม่ผิด ถึงตอนนั้นใจราษฎรไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นต่างหากจะเป็นอันตรายต่ออำนาจปกครองราชวงศ์โจวของพระองค์อย่างแท้จริง
คณะเสนาบดีถกความเห็นกันเป็นนาน มัวยื้อกันอยู่ว่าหลี่สวี่ใช่ตัวจริงหรือไม่ ฮ่องเต้จึงเอ่ยปราม “ไม่ว่าอู๋อ๋องเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม กบฏหยางโจวจะอย่างไรก็เป็นเรื่องจริง ไม่จำเป็นต้องว้าวุ่นเรื่องตัวจริงตัวปลอม เร่งปราบกบฏโดยด่วนจึงจะถูกต้อง ตัวเลือกผู้ปราบปรามทัพกบฏ พวกเจ้ามีข้อเสนอแนะใด”
คนทั้งหมดฟังจากน้ำคำของฮ่องเต้ก็รู้ได้ทันทีว่าอู๋อ๋องที่เมืองหยางโจวผู้นั้นเป็นตัวจริง จึงไม่มัวสืบสาวว่าเหตุใดอู๋อ๋องที่ตายแล้วถึงคืนชีพไปปรากฏตัวที่เมืองหยางโจวได้ พากันหันมาถกเรื่องตัวเลือกจอมทัพ พวกเขาเสนอชื่อหลายต่อหลายคน ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่เจตนา ถึงกับไม่มีใครเสนอชื่อหลี่เจาเกอเลย
ปัจจุบันนครเสินตูมีกำลังทหารที่โยกย้ายได้ราวยี่สิบหมื่นนาย อีกไม่กี่วันกองหนุนจากเมืองและมณฑลต่างๆ มาสมทบ ทัพใหญ่ที่จะไปปราบกบฏหยางโจวมีแต่จะทวีจำนวน อำนาจคุมทหารยี่สิบหมื่นนายนี้เพียงพอจะบงการสถานการณ์ทางการเมืองได้ จึงไม่มีใครกล้ามอบมันให้หลี่เจาเกอ
หลี่เจาเกอฟังครู่เดียวก็แจ้งใจ ในใจของขุนนางเหล่านี้ยังคงนึกถึงหลี่ไหว หวาดกลัวอย่างยิ่งว่าอำนาจปกครองจะตกอยู่ในกำมือสตรีต่อไป ดังนั้นต่อให้เผชิญเรื่องใหญ่อย่างการก่อกบฏก็ยังไม่ยอมผ่อนปรน
ทว่าเรื่องราวไม่อาจขึ้นอยู่กับพวกเขา
ตลอดสามวันในที่ประชุมเช้าถกเถียงกันเรื่องตัวเลือกจอมทัพ กระทั่งวันที่สี่มณฑลเจียงหนานส่งข่าวด่วนมาอีกครา ความว่าในทัพกบฏปรากฏกลุ่มผู้มีพลังพิเศษ ฟันแทงไม่เข้า น้ำไฟไม่กล้ำกราย บุกตะลุยอยู่หน้าสุดราวไม่รู้จักเหนื่อย คำบรรยายต่างๆ นี้มีเค้าของเหตุกบฏซั่วฟางในอดีตยิ่งนัก
ครานี้คนทั้งหมดล้วนตื่นตกใจ ฮ่องเต้เรียกประชุมอีกหน ถกกันหนึ่งชั่วยาม สุดท้ายก็ตกลงให้หลี่เจาเกอเป็นรองจอมทัพไปหยางโจว
ตอนนั้นทัพกบฏซั่วฟางสลายตัวไปโดยไม่รู้สาเหตุ หลายปีที่ผ่านมาไม่มีคนรู้ร่องรอยของผู้บงการหลังม่าน หากครั้งนี้ยังคงเป็นคนร้ายกลุ่มเดิม เช่นนั้นราชสำนักก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว ห้วงวิกฤตเช่นนี้ไม่มีใครมัวพะวงการแก่งแย่งระหว่างฝักฝ่ายอีก ภายหลังคณะเสนาบดีกลั่นกรองหลายรอบ ฮ่องเต้จึงมีคำสั่งแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่ของหน่วยราชองครักษ์ซ้ายเป็นจอมทัพหยางโจว คุมกำลังพลสามสิบหมื่น แต่งตั้งองค์หญิงเซิ่งหยวนหลี่เจาเกอเป็นรองจอมทัพ ตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่กู้หมิงเค่อเป็นผู้ตรวจการทัพ ร่วมกันไปปราบปรามหลี่สวี่
ส่วนเหตุใดกู้หมิงเค่อจึงได้ไปด้วยนั้นเป็นความประสงค์ของตัวเขาเอง เดิมทีในกองทัพมีหลี่เจาเกอแล้ว กู้หมิงเค่อในฐานะตุลาการใหญ่ศาลต้าหลี่ไม่มีประสบการณ์ดูแลงานด้านทหาร ซ้ำยังเป็นสามีของหลี่เจาเกอ ตามหลักเพื่อเลี่ยงคำครหาเขาไม่ควรจะร่วมทัพ ทว่าเขาเป็นฝ่ายร้องขอต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้รู้สึกว่าในกองทัพเพิ่มเขาอีกผู้หนึ่งไม่นับว่ามากจึงตอบรับ
การปราบกบฏไม่อาจชักช้าแม้ครู่ยาม ทัพใหญ่จะต้องออกเดินทางโดยด่วน พวกสาวใช้ของจวนองค์หญิงเซิ่งหยวนได้ยินว่าเมืองหยางโจวเกิดเหตุกบฏ ยังไม่ทันจะสืบได้ความว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรกันแน่ กลับได้ยินว่าราชบุตรเขยกับองค์หญิงจะต้องไปศึกทั้งคู่ พวกนางต่างตื่นตกใจ เร่งจัดสัมภาระแก่เจ้านายทั้งสองอย่างรีบลน
Comments
