อีกฝ่ายกลับใช้เพียงฝ่ามือก็รับกระบวนท่ากระบี่ของนางไว้ได้ ลมแรงซัดขึ้นจากพื้นในพริบตา ตอนนี้เองจันทราลอดผ่านกลุ่มเมฆดำ ค่อยๆ ออกมาส่องสว่างโลกหล้า นางอาศัยแสงจันทร์มองเห็นรูปโฉมของอีกฝ่ายได้ถนัดชัดเจน พาให้นางตกใจยกใหญ่
“เป็นท่าน?”
“ไฉนจึงเป็นเจ้า”
สองคนแทบจะเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน หลี่เจาเกอเก็บกระบี่ รีบตั้งมือสั่งทหารของนางที่ซุ่มอยู่โดยรอบ “ลดอาวุธลงเถิด คนกันเอง”
พลทหารที่คล้องคันธนูจำนวนมากโผล่ออกมาจากกระโจมรอบทิศโดยไร้เสียง อีกฝ่ายเห็นทหารเหล่านี้ก็เลิกคิ้วถาม “เจ้าสวามิภักดิ์ราชสำนักแล้ว?”
“สวามิภักดิ์อะไรกัน” หลี่เจาเกอขึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างหัวเสีย “ข้าเป็นองค์หญิงอยู่แต่แรก แค่กลับวังคืนฐานะเท่านั้นเอง”
จบคำนางก็หยุดเล็กน้อยก่อนถาม “ตาเฒ่าโจว หลายปีนี้ท่านหายไปที่ใดมา”
โจวฉางเกิงยักไหล่ “สี่สมุทรล้วนเป็นบ้าน ไปถึงที่ใดก็คือที่นั่น เจ้าล่ะมาทำอะไรที่นี่”
“ข้าก็อยากจะถามท่าน” นางจ้องโจวฉางเกิงตาเขม็งพลางถาม “ไฉนท่านมาอยู่ในค่ายทัพกบฏ”
โจวฉางเกิงกอดอก ยืนไม่เป็นท่าขณะตอบ “ข้าไม่ใส่ใจหรอกว่าใครคือทัพกบฏ ใครคือทัพคุณธรรม ข้ามาที่นี่…เพราะอยากจะหาของอย่างหนึ่ง”
หลี่เจาเกอตระหนักได้ “นักรบสวมหน้ากากที่ไม่รู้ที่มา?”
โจวฉางเกิงผงกศีรษะรับ “มิผิด สิ่งของจำพวกนี้แสนจะวิปริต นานหลายปีก่อนข้าเคยเจอมาครั้งหนึ่ง น่าเสียดายจับไว้ไม่ได้ หนนี้มันปรากฏตัวอีกแล้ว”
เมื่อครู่สองคนประกระบวนท่ากันสร้างความแตกตื่นแก่ฝ่ายกบฏจึงเริ่มมีเสียงฝีเท้ารุดมาทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ หลี่เจาเกอมองปราดเดียวก่อนเอ่ย “ข้าเองก็มาเพื่อจะคลี่คลายอาคมประหลาดนี่ ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่จะพูดคุย พวกเราเปลี่ยนสถานที่ค่อยคุยรายละเอียดกัน”
โจวฉางเกิงไม่ติดขัดอันใดจึงติดตามหลี่เจาเกอลงเขา มือเก่าอย่างโจวฉางเกิงย่อมลงเขาได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ไม่ช้าพวกเขาก็กลับถึงค่ายของทัพราชสำนัก ทหารลาดตระเวนเห็นบุรุษวัยกลางคนแต่งกายมอซอผู้หนึ่งเข้ามาในค่ายต่างก็ระแวดระวังยิ่งยวด ผิดกับหลี่เจาเกอที่นิ่งเย็น พาโจวฉางเกิงเดินเข้าสู่ด้านในไปพลางพูดกำชับไปพลาง “นี่คือค่ายชั่วคราวของพวกเรา ท่านไม่มีป้ายคำสั่ง อย่าได้เดินเพ่นพ่าน”
โจวฉางเกิงฟังอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบคบค้ากับคนในราชสำนัก แต่หลี่เจาเกอดันกลับวังคืนฐานะไปแล้ว ช่างยุ่งยากนัก นางถามระหว่างพาเขาเดินไปยังกระโจมของนาง “หลายปีนี้ท่านมัวทำอะไรอยู่ ปีนั้นจากไปก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ข้าหลงนึกว่าท่านตายอยู่ข้างนอกแล้วเสียอีก”
โจวฉางเกิงเยาะหยัน “ผายลม ใต้แผ่นฟ้านี้มีใครสู้ข้าได้ด้วยหรือ”
ทหารรอบด้านได้ยินโจวฉางเกิงสบถคำหยาบเช่นนี้ต่อหน้าองค์หญิงก็ล้วนเบิกตาโตตกตะลึง ต่างจากหลี่เจาเกอที่ปรับตัวได้เป็นอย่างดี เห็นชัดว่าเคยชินแล้ว “แล้วเหตุใดท่านไม่ส่งข่าวมาทิวเขาสิบหลี่แม้แต่ประโยคเดียว ในหมู่บ้านมีตั้งหลายคนถามถึงท่าน”
โจวฉางเกิงอิสรเสรีจนเคยตัว อยากจะไปก็ไป อยากจะอยู่ก็อยู่ รำคาญการถูกผูกมัดเป็นที่สุด ทว่าตอนนี้ได้ยินถ้อยคำนี้ของหลี่เจาเกอแล้วยังคงรู้สึกผิดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย “ไม่ใช่เพราะต้องรักษาชีวิตหรือ เจ้าก็รู้ว่าข้าถูกศัตรูตามฆ่าอยู่ ไม่สะดวกจะแพร่งพรายร่องรอย”
หลี่เจาเกอเยาะเย้ยโดยไม่เกรงอกเกรงใจ “ท่านเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี่เอง ใต้แผ่นฟ้านี้ไม่มีใครสู้ท่านได้”
“ใต้แผ่นฟ้านี้ไม่มี แต่ที่อื่นน่ะมี” โจวฉางเกิงเบ้ปาก “ใครใช้ให้ก้อนน้ำแข็งพวกนั้นทำตัวเป็นวิญญาณที่ไม่ไปผุดไปเกิด ไม่ว่าข้าจะไปที่ใดก็ตามมาอยู่ได้ โดยเฉพาะก้อนน้ำแข็งแซ่ฉินนั่น…”
โจวฉางเกิงยังพูดไม่ทันจบก็เห็นประตูกระโจมด้านหน้าเปิดออก ด้านในมีคนเดินออกมาผู้หนึ่ง
วาจาที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของโจวฉางเกิงพลันติดคาในลำคอ กู้หมิงเค่อปรายมองโจวฉางเกิงเรียบๆ ปราดเดียวก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้หลี่เจาเกอ “ท่านกลับมาแล้ว”
* เฉินเซิ่งกับอู๋ก่วง คือผู้นำชาวนากลุ่มแรกที่ลุกฮือต่อต้านการปกครองของหูไฮ่โอรสองค์ที่ 18 ของจิ๋นซีฮ่องเต้ โดยอ้างว่าฝูซูโอรสองค์โตของจิ๋นซีฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่จริงฝูซูผู้มีชื่อเสียงดีงามในหมู่ราษฎรและมีสิทธิ์ในบัลลังก์ตามคำสั่งเสียของพระบิดานั้นได้ถูกหลอกให้ฆ่าตัวตายตามพระราชโองการปลอมแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 มี.ค. 68