ไม่ถูกสิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดหยุมหยิมเรื่องสายสัมพันธ์ ราชสำนักสวรรค์มีกฎอยู่ชัดๆ ไม่อนุญาตให้เทพเซียนรักกับมนุษย์ เมื่อก่อนเซียนจำนวนหนึ่งเคยมีใจฝักใฝ่ปุถุชน ในราชสำนักสวรรค์ถกความเห็นกันเกรียวกราว ฉินเค่อนี่เองเป็นผู้ไต่สวน ให้เราะกระดูกเซียนของเซียนทั้งหมดที่ละเมิดกฎ ตอนนี้ไฉนตัวฉินเค่อเองจึงได้…
โจวฉางเกิงสีหน้าขรึมลง มองหลี่เจาเกอแล้วเลือกที่จะไม่พูดถึงสิ่งนี้ต่อหน้านาง กล่าวเพียงว่า “ข้างนอกไม่ใช่สถานที่จะพูดคุย เข้าไปก่อนเถอะ”
สามคนเข้ามานั่งในกระโจมของหลี่เจาเกอ หลี่เจาเกอกับกู้หมิงเค่อล้วนนั่งตัวตรงดุจพู่กัน มีก็แต่โจวฉางเกิงที่เข้ามาแล้วยืดขากางแขนแผ่หลาเอนตัวบนที่นั่ง
อันที่จริงรูปโฉมของโจวฉางเกิงไม่เฉียดใกล้คำว่าตาเฒ่าสักนิด ผู้ที่สำเร็จเป็นเซียนจะไม่แก่ชราลง รูปโฉมจะหยุดอยู่ปีที่สำเร็จเป็นเซียน นับแต่นั้นไม่เปลี่ยนแปลงอีก ดูแล้วโจวฉางเกิงจึงเป็นบุรุษวัยเพียงสามสิบสี่สิบปี แต่รูปลักษณ์ดูสกปรกไว้หนวดเฟิ้มนี้เพิ่มอายุให้เขาหลายปีโดยใช่เหตุ ไม่อาจโทษหลี่เจาเกอที่เรียกเขาว่าตาเฒ่าโจว เขาดูไม่เหมือนคนหนุ่มเลยจริงๆ อีกอย่างตัวเขาเองก็ไม่เคยถือสากับคำเรียกนี้
เขาถาม “ตอนนี้พวกเจ้าทำงานให้ราชสำนัก?” ก่อนจะสำเร็จเป็นเซียนเขาเป็นชาวยุทธ์ โดยสัญชาตญาณจึงไม่มีความรู้สึกที่ดีกับราชสำนัก ต่างจากหลี่เจาเกอกับฉินเค่อที่ล้วนถือกำเนิดในราชวงศ์ ไม่ได้ผลักไสต่อต้านวงราชการ
หลี่เจาเกอตอบ “ใช่ พวกเรามาหนนี้เพื่อจะปราบปรามทัพกบฏ พวกเขาจับตัวอู๋อ๋องไป อ้างนามอู๋อ๋องก่อการ ฮ่องเต้ทรงทราบว่าแนวหน้าปรากฏกลุ่มนักรบประหลาด กังวลว่าจะกลายเป็นภัยแบบที่ซั่วฟางหนนั้น จึงส่งพวกเรามากำจัด”
โจวฉางเกิงพยักหน้า “ข้าเองก็รู้สึกว่าคล้ายเหตุกบฏเมื่อหลายปีก่อนหนนั้นมาก น่าเสียดายตอนนั้นข้าฆ่าทันแค่ตัวหัวหน้า ปล่อยให้เจ้านักพรตนั่นหนีไปได้”
หลี่เจาเกอตกตะลึง “ท่านเป็นคนฆ่าผู้บัญชาการทัพซั่วฟาง?”
ตอนนั้นข้างกายผู้บัญชาการทัพซั่วฟางพลันปรากฏนักพรตผู้หนึ่ง อ้างตนว่าเป็นเทียนซือ แผ่นกระดาษที่นักพรตผู้นั้นโปรยลงมาสามารถแปรเป็นทหารกับสัตว์ร้าย นำพาภัยพิบัติไม่น้อยมาสู่ราชสำนักกับราษฎร เหตุกบฏซั่วฟางเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ ราวกับจู่ๆ วันหนึ่งเทียนซือก็หายสาบสูญไป ผู้บัญชาการทัพซั่วฟางตายเฉียบพลันในกระโจมค่าย เหตุกบฏที่เริ่มต้นอย่างครึกโครมกลับปิดฉากลงอย่างกะทันหัน
โจวฉางเกิงประหลาดใจมากเช่นกัน “เจ้าไม่รู้?”
หลี่เจาเกอมองเขาด้วยความฉงน “ก็ไม่รู้น่ะสิ ท่านไม่เคยบอกข้าเสียหน่อย ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน”
โจวฉางเกิงเกาศีรษะ นี่เขาถึงกับไม่เคยบอกนาง? สะเพร่ายิ่งนัก เขาก็หลงนึกว่านางรู้นานแล้ว
กู้หมิงเค่อฟังอยู่ด้านข้าง รินน้ำชาให้ตนเองหนึ่งถ้วยก่อนเอ่ยเนิบๆ “สองคนศิษย์อาจารย์ผูกพันกันดีแท้”
แม้กระทั่งเรื่องใหญ่เช่นนี้ก็ไม่ได้สื่อสารกัน
หลี่เจาเกอรู้สึกว่าเหลือเชื่อ แค่นี้ปริศนาเหตุกบฏซั่วฟางที่รบกวนใจราชสำนักมานานหลายปีก็คลี่คลายลงแล้ว นางถาม “นักพรตผู้นั้นเล่า”
“หนีไปเสียก่อน” โจวฉางเกิงส่ายหน้า “หลายปีนี้ข้าตามหามาโดยตลอด น่าเสียดายเจ้านักพรตนอกรีตนั่นไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย”
คิ้วของหลี่เจาเกอเชิดขึ้น “จะใช่คนบนภูเขาหรือไม่”
“ไม่รู้สิ” โจวฉางเกิงกล่าว “ข้ากำลังคิดจะไปดูก็เจอเจ้าเข้าก่อน ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปีเจ้ารุดหน้าไม่น้อยเลยนะ ทีแรกข้าถึงกับแยกแยะไม่ออกว่าเป็นเจ้า”
ตอนสองคนประมือกัน เขาค้นพบทันทีว่าแนวทางของอีกฝ่ายคุ้นตายิ่ง เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นปราณแท้หรือท่ากระบี่ล้วนก้าวหน้าไปมากเสียจนไม่คล้ายระดับที่หลี่เจาเกอในวัยนี้จะสั่งสมไปถึงได้ เขาจึงไม่แน่ใจในทีแรก ต้องรอจนออกมาด้านนอกมีแสงจันทร์ มองดูอีกหน…มารดามันเถอะ เป็นหลี่เจาเกอจริงๆ เสียด้วย
โจวฉางเกิงเองเป็นถึงจอมประหลาดด้านการฝึกยุทธ์ ยากมากที่ใครสักคนจะทำให้เขาทึ่งได้ แต่ความก้าวหน้าของนางถึงกับทำให้เขาตระหนก หากเขาไม่ได้ดื่มสุราจนเลอะเลือนไป เขาไปจากทิวเขาสิบหลี่แค่เพียงเจ็ดปี ในช่วงเวลาแค่เจ็ดปีนี้นางก็บำเพ็ญเพียรจากขั้นเริ่มต้นมาจนถึงขั้นที่เพียงพอจะประมือกับเขาเบื้องต้นได้แล้ว? หากเป็นเช่นนี้จริงๆ พวกเทพบนสวรรค์ก็อย่าบำเพ็ญเพียรกันอีกเลย แต่ละคนพันปีสองร้อยปีก็ยังทะลวงเลื่อนขั้นพลังวัตรไม่ได้ มีชีวิตอยู่ช่างน่าขายหน้า
โจวฉางเกิงมิอาจไม่แคลงใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าไปดื่มยาอะไรที่เร่งให้ก้าวหน้าได้ในเวลาอันสั้นหรอกนะ”
หลี่เจาเกอมองเขาอย่างรังเกียจรังงอน “ข้าจะไปหายาเช่นนั้นจากที่ใดกันเล่า”
กู้หมิงเค่ออยู่ด้านข้างหมุนถ้วยชาอย่างแช่มช้าพลางเอ่ยเสียงเบา “เจ้าเป็นอาจารย์เช่นนี้น่ะหรือ ถึงกับสงสัยว่าศิษย์ใช้ยา”
โจวฉางเกิงเหลือบมองฉินเค่อแล้วกลืนถ้อยคำที่คิดจะพูดคืนลงท้องไปเงียบๆ จริงสินะ คนทั่วไปไม่มีทางจะฝึกพลังวัตรได้เร็วเพียงนี้ แต่หากมีฉินเค่อชี้แนะ นั่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว
นั่นสุดยอดฝีมือแห่งราชสำนักสวรรค์เชียวนะ ย่อมไม่ใช่คำที่เปรยเรียกไปอย่างนั้นเอง