จุติรัก พลิกชะตาร้าย
ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 152.1-152.2
ครั้นเห็นว่าหัวข้อสนทนาออกนอกเรื่องไปไกล หลี่เจาเกอก็วกกลับมาที่หัวข้อหลัก “เรื่องความหลังเอาไว้ค่อยมาคุยกัน ตาเฒ่าโจว เกี่ยวกับนักพรตนอกรีตในเหตุกบฏซั่วฟางท่านรู้มากเท่าไร”
โจวฉางเกิงนั่งไม่เป็นท่าพลางตอบ “ก็ไม่มากเท่าไร ตอนนั้นข้าบังเอิญเตร็ดเตร่ไปถึงเจี้ยนหนาน ค้นพบหนูน้อยตกอยู่ท่ามกลางทัพกบฏ ในใจคิดว่าเครื่องประดับบนตัวหนูน้อยมีราคาไม่เบา เอาไปแลกสุราดื่มได้พอดีก็เลยแวะเก็บหนูน้อยนั่นมา นี่ก็คือบทเรียนราคาแพง ต่อไปจะเก็บอะไรไม่ว่า แต่ห้ามเก็บหนูน้อยมาเด็ดขาด ร้องไห้ทีจะเอาชีวิตกันชัดๆ ซ้ำสลัดทิ้งอย่างไรก็สลัดไม่หลุดเสียด้วย”
แสงเทียนในกระโจมส่ายไหว บรรยากาศเงียบกริบ โจวฉางเกิงมองหลี่เจาเกอแวบหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “มิผิด หนูน้อยนั่นก็คือเจ้า เคราะห์ดีเจ้าโตแล้วนับได้ว่าเป็นผู้เป็นคน ตอนเด็กน่ะน่ารำคาญมากจริงๆ”
ถ้อยคำเหล่านี้ให้ข้อมูลมากเหลือเกิน หลี่เจาเกอไม่รู้จะเริ่มเอ่ยเรื่องใดก่อนดี สุดท้ายนางถามอย่างไม่อาจทำใจเชื่อ “ตอนเด็กข้าขี้แยนักหรือ ท่านอย่าอาศัยว่าข้าจำไม่ได้ก็จะมาปรักปรำข้าส่งเดชนะ”
โจวฉางเกิงหัวเราะเยาะหนึ่งที รอยเหยียดหยามเกลื่อนใบหน้า “หากไม่ใช่เพราะเจ้าขี้แยเกินเหตุ ข้าน่ะหรือจะปล่อยให้เจ้านักพรตนั่นหลุดมือไปได้ ก็เพราะต้องหอบหิ้วเจ้าไปด้วย ถ่วงเวลาข้าครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย”
ปากโจวฉางเกิงพร่ำบ่น แท้ที่จริงกำลังเลี่ยงไม่เอ่ยถึงว่าเหตุใดหลี่เจาเกอจึงจำวัยก่อนหกขวบได้ไม่ชัดเจน กู้หมิงเค่อฟังอยู่ด้านข้าง ไม่ได้เปล่งวาจาสักคำ ส่วนหลี่เจาเกอแม้ยังคงแคลงใจยิ่งนัก ทว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้ากู้หมิงเค่อ นางไม่อยากจะสืบสาวว่าวัยเด็กตนเองเป็นจอมขี้แยจริงหรือไม่ จึงรีบเบี่ยงเบนประเด็น “เอาเถิด ถือว่าข้าทำให้ท่านเสียเวลาก็ได้ แต่หลายปีมานี้ท่านไม่มีการไม่มีงาน ควรจะสืบได้ความอะไรบ้างกระมัง”
เอ่ยถึงเรื่องนี้โจวฉางเกิงก็จริงจังขึ้นเล็กน้อย “ข้ามักรู้สึกว่าตอนนั้นนักพรตนั่นไม่ใช่ตัวการใหญ่ เบื้องหลังยังมีผู้ชักใยตัวจริงอยู่อีกคน แต่คนผู้นั้นลึกลับเหลือเกิน ข้าตามสืบมาห้าหกปียังคงไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้น ปีนี้แถบเจียงหนานพลันปรากฏนักรบที่ฟันแทงไม่เข้า นี่นับเป็นเบาะแสใหญ่ที่สุดตลอดหลายปีนี้ ข้าจึงรุดมาทันทีที่ได้ข่าว”
จากนั้น…ก็ได้เจอกับหลี่เจาเกอ
กู้หมิงเค่อนิ่งเงียบมาโดยตลอด กระทั่งฟังถึงตรงนี้ในดวงตาของเขาจึงผุดริ้วอารมณ์ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นรอยยิ้มจริงหรือรอยยิ้มประชด
หากไม่ใช่คนผู้นั้นเต็มใจเองก็ไม่มีทางที่ใครจะสืบพบคนผู้นั้นได้ หากบอกว่าโจวฉางเกิงเสาะหามาถึงที่นี่ มิสู้บอกว่าเป็นคนผู้นั้นจงใจล่อพวกเขามา
กู้หมิงเค่อ หลี่เจาเกอ โจวฉางเกิง ไม่แน่อาจยังมีเผยจี้อันด้วย ขณะนี้ไม่กี่คนที่เกี่ยวพันกับราชสำนักสวรรค์ต่างมารวมตัวที่เจียงหนาน
คนผู้นั้นเตรียมการมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็จะเริ่มการแสดงแล้ว
ขณะที่กู้หมิงเค่อคิด หลี่เจาเกอกับโจวฉางเกิงก็เริ่มถกความเห็นกันเรื่องผู้ชักใยหลังม่าน นางกล่าว “เมื่อก่อนข้าอยู่ที่เสินตูเคยทำคดีจำนวนหนึ่ง แต่ละคดีดูคล้ายไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ข้ากลับมักรู้สึกว่ามีคนผลักดันอยู่เบื้องหลังคดีเหล่านี้ วิชาอาคมที่ใช้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับคนตายและพลังธาตุอิน ประจวบกับเหตุกบฏซั่วฟางก็มีนายทัพทหารกระดาษ ซ้ำบาดแผลที่ถูกสัตว์กระดาษกัดยังมีไอมรณะกระหวัดวน ปกติกระดาษจะเผาให้ผู้ล่วงลับ ดูตามนี้แล้วจะใช่ฝีมือคนเดียวกันทั้งหมดหรือไม่ วิธีคลี่คลายเหตุกบฏหยางโจวก็อาจขึ้นอยู่กับจุดนี้”
โจวฉางเกิงถามหยั่งเชิง “ถ้าเผาให้ผู้ล่วงลับ…อย่างนั้นพรุ่งนี้เจอพวกตัวโตนั่น ลองใช้ไฟอาคมเผาดู?”
“นี่อยู่บนภูเขานะ ฤดูเหมันต์อากาศแห้ง เกิดสถานการณ์หลุดจากการควบคุม ลุกลามเป็นไฟป่าจะทำอย่างไร” หลี่เจาเกอคัดค้าน โจวฉางเกิงจึงเอ่ยอย่างจนหนทาง “ยุ่งยากจริง อย่างนั้นก็ใช้อาวุธ มาตัวหนึ่งฟันทิ้งตัวหนึ่งก็แล้วกัน”
อย่างโจวฉางเกิงนี่เรียกว่าความคิดแบบฉบับชาวยุทธ์ นึกว่าโค่นศัตรูได้ก็จะสิ้นเรื่อง ทว่าการศึกต้องคำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน หลี่เจาเกอจึงส่ายหน้าคัดค้านอีกหน “พวกเราฆ่านักรบสวมหน้ากากหนึ่งตัวนั้นง่าย แต่ไม่มีทางที่นักรบสวมหน้ากากจะมาให้พวกเราฆ่าทุกครั้ง แนวรบด้านหน้าทอดยาวเช่นนั้น อาศัยแต่ความกล้าเฉพาะบุคคลไม่มีทางจะพลิกผันการศึก อีกอย่างศึกนี้รบให้คนทั่วหล้าดู ต้องพิชิตชัยแบบไร้ที่ติ พวกเราจะต้องแสดงให้คนทั่วหล้าเห็นว่าราชสำนักมีวิธีทำลายอาคมปีศาจ ต่อให้เป็นทหารทั่วไปก็เอาชนะปีศาจได้ เหตุกบฏซั่วฟางจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง ไม่เช่นนั้นราษฎรจิตใจหวั่นหวาด ต่อให้ปราบกบฏหยางโจวลงได้ ไฟสงครามก็จะปะทุขึ้นท้องที่อื่นอีก”
โจวฉางเกิงไม่ค่อยเข้าใจความถูกต้องเหมาะสมเรื่องการบ้านการเมืองจึงเอ่ยด้วยความปวดหัว “ฆ่าทิ้งไม่ดี เผาไฟก็ไม่ดี แล้วจะให้ทำอย่างไร”
หลี่เจาเกอรู้สึกเสียดาย “น่าเสียดายคืนนี้หาไม่เจอว่านักรบพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ใด หากรู้แนวทางของพวกมันก็จะสยบได้ง่ายขึ้นมาก” นางมองสีท้องฟ้าปราดหนึ่งแล้วมุ่นคิ้วขบคิด “ยังอีกสักพักกว่าฟ้าจะสาง ถ้าอย่างไรข้าขึ้นไปสืบดูอีกรอบ”
ต่อให้หลี่เจาเกอมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ ตอนนี้ขึ้นเขาอีกหนก็อันตรายเกินไปอยู่ดี กู้หมิงเค่อจึงพลันเอ่ยปาก “ไม่ต้องหรอก พวกมันเป็นหุ่นดินเผา คืนนี้ที่กลุ่มของท่านหาพวกมันไม่เจอเป็นเพราะพวกมันอยู่ใต้ดิน”
หลี่เจาเกอกับโจวฉางเกิงล้วนมองไปทางกู้หมิงเค่ออย่างตกตะลึง กู้หมิงเค่อดุจชิ้นหยกเย็นกระจ่าง ขนตาเรียวยาว นัยน์ตาดั่งลูกปัดหยกสีหมึกแช่ในน้ำเย็นเฉียบ เพียงขยับแผ่วๆ วงน้ำหนาวก็แผ่ท่วมท้น “พวกมันกลัวเงินเหลว”
โจวฉางเกิงขมวดคิ้ว อยากจะถามมากว่าท่านรู้ได้อย่างไร แต่มองใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ยังคงอดกลั้นไว้ ส่วนหลี่เจาเกอยิ่งไม่ได้ซักไซ้ว่ากู้หมิงเค่อได้ข้อมูลมาจากที่ใดก็ยืนพรวดเอ่ยทันที “ข้าจะออกไปสั่งการเดี๋ยวนี้ พวกท่านรอข้าที่นี่สักครู่”
หลี่เจาเกอเลิกม่านกระโจมออกไป ขณะที่ม่านประตูปิดลงดังเดิม ริ้วลมก็เล็ดลอดผ่านร่องม่านมากระทบเปลวเทียนจนสั่นระริก พาให้เกิดแสงเงาวูบวาบบนดวงหน้าของคนทั้งสอง
โจวฉางเกิงมองกู้หมิงเค่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยช้าๆ “เป่ยเฉินเทียนจุน ไม่ได้พบกันเสียนาน”
กู้หมิงเค่อผงกศีรษะนิดๆ “เทพดาราไท่ไป๋ ไม่ได้พบกันเสียนาน เจ้าช่างรู้จักหาสถานที่ ราชสำนักสวรรค์ตามหาเจ้าอยู่นานทีเดียว”
โจวฉางเกิงแค่นหัวเราะ หากไม่ใช่เพราะคนพวกนี้เขาคงไม่ต้องย้ายสถานที่ทุกไม่กี่เดือนหรอก เขามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาพลางถาม “เมื่อเก้าปีก่อนท่านเคยมาแดนมนุษย์แล้ว เหตุใดตอนนี้จึงมาอีก อ้อจริงสิ อาจควรบอกว่าเป็นสิบเก้าปีก่อน”
แดนมนุษย์เคยผ่านการปรับเส้นเวลาใหม่หนึ่งหน มนุษย์ปุถุชนลืมความทรงจำในชาติก่อนจนสิ้น ทว่าเทพเซียนไม่ ตั้งแต่ตอนนั้นโจวฉางเกิงก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายบนแดนมนุษย์เปลี่ยนไป แต่เขานึกว่าคนบนสวรรค์เหล่านั้นกำลังลองทำบางอย่างอีกตามเคยจึงคร้านจะไปไยดี นึกไม่ถึงว่าคนเหล่านั้นเพ่งเล็งมาที่หลี่เจาเกอ
กู้หมิงเค่อย่อมรู้ว่าไม่อาจตบตาโจวฉางเกิง เขากล่าว “หากไม่ใช่เจ้าละเลยหน้าที่ ฝ่าฝืนคำสั่ง ราชสำนักสวรรค์ก็ไม่ต้องใช้แผนชั้นเลว เจ้ากลับราชสำนักสวรรค์ไปรับผิดเสียตอนนี้ ยังผ่อนหนักเป็นเบาได้”
โจวฉางเกิงหัวเราะเยาะแล้วเอ่ยประชด “ผ่อนหนักเป็นเบา? คำนี้ใครมาพูดข้าล้วนเชื่อ เว้นก็แต่ท่าน ข้าไม่เชื่อสักคำเดียว ฉินเค่อ ท่านเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ส่วนตน รักษากฎสวรรค์ที่สุดไม่ใช่หรือไร ตอนนี้ท่านกำลังทำอันใดอยู่ ข้อแรกปลอมฐานะลงมาแดนมนุษย์ ข้อสองแต่งงานกับมนุษย์ธรรมดา ข้อสามยังก้าวก่ายการเมืองบนแดนมนุษย์นี่ด้วย ไม่ว่าข้อใดล้วนมีโทษหนักฐานละเมิดกฎสวรรค์”
กู้หมิงเค่อแย้งเรียบๆ “นางไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา”
“ต่อให้นางอยู่บนเส้นทางบำเพ็ญเซียน แต่ก่อนนางจะสำเร็จมรรคผลก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดี” โจวฉางเกิงจ้องกู้หมิงเค่อตาเขม็ง “เทพเซียนกับมนุษย์ลักลอบมีความสัมพันธ์กันจะตัดสินโทษอย่างไร ท่านน่าจะรู้ชัดยิ่งกว่าข้า ท่านคิดจะทำอันใดกันแน่ หากหมายหลอกใช้นางเพื่อให้ตนเองฝ่าพ้นด่านเคราะห์ ต่อให้ข้าสู้ท่านไม่ได้ก็ไม่วายต้องขอรับการชี้แนะจากฉินเทียนจุนสักหน่อย”
กู้หมิงเค่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้สีหน้าก็ขรึมลง “ข้ายังไม่ต่ำช้าถึงขั้นนั้น เจ้าควบคุมตัวเจ้าเองให้ดีเป็นพอ เรื่องของข้ากับนางจงอย่าได้สอดมือ”
กู้หมิงเค่อเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน รวบแขนเสื้อยาวเดินมุ่งไปเบื้องนอก โจวฉางเกิงนั่งจ้องเขาอยู่ด้านหลัง ยามที่มือของเขากำลังจะแตะถูกม่านประตู โจวฉางเกิงก็พลันเอ่ยถาม “นางรู้หรือไม่”
มือของกู้หมิงเค่อชะงักเล็กน้อย ก่อนเลิกม่านประตู ก้าวยาวออกจากกระโจมไป
สายลมชื้นเย็นพัดจากเบื้องนอกเข้ามาในกระโจม ไส้เทียนสั่นไหวอย่างรุนแรงแล้วดับสนิทในทันที
Comments
