บทที่ 153-2 สุสานฮ่องเต้
หลี่เจาเกอเหินข้ามทางระเบียงอย่างว่องไว อาศัยหัวเลี้ยวทิ้งห่างจากผู้ไล่ล่าแล้วพลันหันขวับกลับมาแทงทะลุหัวมัน ทว่าถึงอย่างไรแมงมุมหน้าคนก็มีมากมายเหลือเกิน กระบี่นางยังเสียบติดอยู่ในหัวไม่ทันจะชักออกมา แมงมุมหน้าคนอีกตัวที่อยู่มุมด้านข้างก็พลันพ่นใยสายหนึ่งมาติดแขนเสื้อนางพอดี นางชักกระบี่ออกมาจนได้ แม้จะสะบัดมือฟันเส้นใยขาด แต่เส้นใยสีแดงชนิดนี้ไม่รู้มีส่วนประกอบใดกันแน่จึงได้หนืดเหนียวยิ่งยวด ต่อให้ตัดเส้นใยบนแขนเสื้อขาดก็ยังเหนียวติดไปบนกระบี่ต่อ
เพียงชั่ววูบที่ล่าช้าแมงมุมหน้าคนที่อยู่ด้านหลังก็ตามมาโอบล้อมนางไว้ได้ มีตัวหนึ่งเงื้อเคียวคู่พุ่งเข้าใส่นางโดยไม่รั้งรอ กระบี่ธาราเร้นยังถูกใยแมงมุมพัวพัน นางจึงได้แต่ชักมีดสั้นในแขนเสื้อมาต้านรับ เมื่อเป็นเช่นนี้สองมือของนางล้วนถูกตรึงแล้ว แมงมุมหน้าคนอีกตัวสบช่องรีบชูเงี่ยงพิษฉีดพ่นน้ำพิษใส่นางทันที
นางค่อยรู้เอาป่านนี้ว่าเงี่ยงพิษของพวกมันไม่เพียงใช้ทิ่มแทง ยังพ่นน้ำพิษได้ไม่ต่างจากงู นางเห็นว่าหลบไม่ทันแน่แล้ว กำลังคิดจะใช้แขนฝืนรับตรงๆ เบื้องหน้าก็พลันผุดโล่แสงมากำบังนาง น้ำพิษที่กระทบโล่แสงถึงกับถูกแช่เย็นเป็นลูกปัดน้ำแข็งร่วงลงพื้นดังติ๊งๆ พริบตานั้นแมงมุมหน้าคนสามตัวที่อยู่ใกล้นางล้วนถูกเคลือบด้วยน้ำแข็ง ลำคอของพวกมันถูกแช่เย็นจนหักสะบั้นโดยพร้อมเพรียง หัวกลิ้งขลุกๆ ลงพื้นแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ใยแมงมุมบนกระบี่ของนางละลายไปทันตา ครั้นเก็บกระบี่กลับคืนก็เห็นกู้หมิงเค่อกำลังเดินทอดน่องมาหานาง
อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ รูปโฉมสูงส่งเป็นเอก ทั่วร่างหมดจดดุจเดิม ไม่ได้รับผลกระทบจากแมงมุมประหลาดที่น่าสะอิดสะเอียนพวกนี้สักนิด แม้แต่สังหารพวกมันเขาก็ใช้วิธีแช่แข็งอันสุภาพ ควบคุมจากระยะไกลตลอดกระบวนการ ไม่เหมือนนางที่ตะลุมบอนระยะประชิด บนเสื้อผ้าไม่แคล้วเปื้อนดินโคลนปนน้ำเลือด นางปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอก่อนถาม “พวกที่อยู่ด้านหลังจัดการหมดแล้ว?”
“อืม” กู้หมิงเค่อกล่าว “ด้านหลังไม่มากเท่าไร ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ตรงนี้”
โจวฉางเกิงกระโดดจากหลังคาลงมายืนข้างกายหลี่เจาเกอ แล้วจะใช้กระบี่เคาะแขนนางตามความเคยชิน “แม้แต่กระบี่ยังถูกผู้อื่นตรึงได้ เมื่อแรกเคยสอนเจ้าไว้อย่างไร”
โจวฉางเกิงสังหารแมงมุมหน้าคนไปไม่น้อยเช่นกัน บนกระบี่ของเขายังมีเลือดสดๆ กับน้ำเมือกหยดติ๋งๆ กระบี่เลอะเทอะนั้นยังไม่ทันจะได้แตะถูกหลี่เจาเกอก็พลันถูกกระบี่น้ำแข็งสีฟ้าเล่มหนึ่งสกัดไว้ก่อน โจวฉางเกิงเห็นแล้วตะลึงงัน ตอนอยู่ในราชสำนักสวรรค์เขาเคยได้ยินผู้อื่นกล่าว อย่าเห็นว่าซีขุยเทียนจุนแห่งฟ้าประจิมควบคุมการเข่นฆ่า ส่วนเป่ยเฉินเทียนจุนแห่งฟ้าอุดรอยู่กับงานกระดาษตำราทั้งวี่วัน อันที่จริงผู้ที่ต่อยตีเก่งกาจที่สุดในราชสำนักสวรรค์คือเป่ยเฉินเทียนจุนฉินเค่อนี่เอง ความจริงก็เข้าใจได้ ไม่ว่ากฎระเบียบใดล้วนต้องอาศัยแสนยานุภาพในการพิทักษ์รักษา หากไม่ใช่ฉินเค่อมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งมากพอ เหล่าเทพเซียนที่กระทำผิดจะยอมรับโทษแต่โดยดีได้อย่างไรกันเล่า
ฉินเค่อสันทัดกระบี่เป็นพิเศษ ทว่าในราชสำนักสวรรค์ไม่มีสักคนเคยเห็นฉินเค่อใช้กระบี่ ได้ยินว่าก่อนที่ฉินเค่อจะบรรลุเป็นเทพเซียนมีเรื่องแสลงใจบางอย่างกับกระบี่จึงไม่ใช้มันโดยง่าย ตอนอยู่แดนสวรรค์เขาอยากจะประลองกับฉินเค่อสักสองสามกระบวนท่ามาตลอด น่าเสียดายที่ไม่อาจเป็นจริง
นึกไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะได้เห็นกระบี่ประจำกายของเป่ยเฉินเทียนจุน ขณะเขายังตะลึงค้างก็ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวว่า “นี่หนที่สองแล้วนะ”
หนที่สองอะไรกัน โจวฉางเกิงหันมาพร้อมความงุนงงก็เห็นอีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาเย็นเฉียบ “ทุกเรื่องไม่ควรถึงสามครา* แก้นิสัยเสียๆ นี้ทิ้งจะเป็นการดีที่สุด”
โจวฉางเกิงแค่นเสียงฮึ อดไม่ได้ต้องหักข้อนิ้ว “ตัวนางเองยังไม่พูด เป็นธุระกงการอะไรของผู้อื่น”
“พอที” หลี่เจาเกอปรามสองคนนี้ไว้อย่างเหลืออด “แมงมุมมาอีกแล้ว ทำเรื่องสำคัญก่อน!”
กู้หมิงเค่อเก็บกระบี่กลับคืน หมุนตัวจากไปโดยไม่ได้มองโจวฉางเกิง โจวฉางเกิงกลั้นโทสะไว้เต็มท้อง ไม่รู้ว่าควรระบายเช่นไรดี “ศิษย์ที่ข้าสอนออกมา แค่เคาะแขนจะไม่ได้เชียวหรือ”
สามคนแม้ไม่ได้สื่อสารกัน กลับเฝ้าคุมคนละทิศทางกันโดยไม่ต้องนัดแนะ หลี่เจาเกอสังหารแมงมุมหน้าคนไปก็ขบคิดไป คืนนี้กองทัพฉลองชัย หลายคนดื่มสุราจนไม่ได้สติ จริงอยู่ลอบโจมตีในห้วงเวลานี้เป็นโอกาสงาม ทว่าหลี่สวี่ตายไปแล้ว คนหลังม่านมาลงมือเอาป่านนี้เพราะเหตุใดกัน
ขณะนางขบคิดอยู่นั้นบังเอิญเหลือบเห็นแมงมุมหน้าคนตัวหนึ่งเดินเตร่อยู่ข้างผู้ที่เมาไม่ได้สติ มันไม่ได้เคลื่อนไหวประเปรียวมีสีสดเข้มเช่นแมงมุมหน้าคนตัวอื่น ทั่วร่างมันเป็นสีเทาอ่อน อุ้ยอ้ายอืดอาด พุงใหญ่ย้วยจนลากพื้น เดินไต่บนพื้นไปอย่างเชื่องช้าพลางใช้ปากแมงมุมสูบลมหายใจจากปากคน แม้มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงด้วยตาเปล่า แต่สัมผัสได้ว่ามีพลังที่ไร้สภาพขุมหนึ่งถูกสูบกลืนลงท้องแมงมุมเทาตัวนั้น แมงมุมเทาพออกพอใจแล้วจึงไต่ไปหาคนถัดไป ร่างกายของคนที่ถูกสูบพลังยังคงเดิม ทว่าใบหน้าหมองลงอย่างรวดเร็ว
ราวกับแหล่งพลังชีพที่สำคัญที่สุดถูกสูบกลืนไปแล้ว