หลี่เจาเกอตอบสนองได้ทันที นั่นคือพลังที่ติดตัวมนุษย์แต่กำเนิด พลังขุมนี้ได้มาจากครรภ์มารดาคือของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่สวรรค์เบื้องบนมอบแก่มนุษย์ มีพลังขุมนี้อยู่ภูตผีปีศาจจึงจะไม่กล้ากล้ำกราย เช่นนี้เองมนุษย์ที่บรรลุเป็นเทพเซียนจึงได้เป็นใหญ่ในหมู่เทพเซียนทั้งปวง พลังแต่กำเนิดนี้ส่งผลกระทบต่อทุกด้าน บางคนมีพลังขุมนี้แข็งแกร่งก็จะเฉลียวฉลาด แข็งแรง ดวงดีแต่เกิด บางคนมีพลังขุมนี้อ่อนแอก็จะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดชั่วชีวิต ดังเช่นภาษิตว่าไว้…โรคที่พกมาจากครรภ์มารดารักษาไม่หาย
เมื่อทารกเติบใหญ่พลังแต่กำเนิดนี้จะเบาบางลงตามลำดับ เชาวน์ปัญญากับตาทิพย์ของเด็กเล็กจะค่อยๆ ปิดตัวลงจนไม่อาจสื่อสารกับฟ้าดินได้อีก นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่การบำเพ็ญเต๋าและการฝึกยุทธ์ล้วนต้องเริ่มฝึกตั้งแต่เป็นเด็กน้อย มนุษย์เมื่อเติบใหญ่จะเปลี่ยนเป็นทึ่มทื่อ ไม่อาจเรียนรู้ได้ไวเช่นวัยเด็ก หากโตแล้วค่อยมาร่ำเรียน ไม่ว่าจะร่ำเรียนสิ่งใดล้วนก้าวหน้าได้จำกัด
หากพลังแต่กำเนิดนี้หมดสิ้นไป มนุษย์ก็จะใกล้สิ้นอายุขัย ร่างกายจะทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว พลังนี้ล้ำค่าทว่ามีปริมาณจำกัด ผู้บำเพ็ญเต๋าเห็นมันเป็นสมบัติที่ประเมินค่ามิได้ น่าเสียดายนอกจากครรภ์มารดากลับไม่มีแหล่งกำเนิดอื่นอีก นึกไม่ถึงว่าแมงมุมเทาตัวนี้จะชั่วร้ายถึงขั้นปล้นชิงพลังแต่กำเนิดของผู้อื่นไป
หลี่เจาเกอมองสำรวจรอบหนึ่ง แมงมุมหน้าคนทุกตัวในระยะสายตาล้วนมีสีสดแลดูเหี้ยมหาญ เว้นแต่ตัวนี้สีซีดหม่นอัปลักษณ์แลดูไม่สะดุดตา นางตระหนักได้ว่ามันก็คือตัวนางพญา จึงรั้งกระบี่รุดไปหามันทันที
ครั้นฝูงแมงมุมหน้าคนค้นพบว่าหลี่เจาเกอคิดร้ายต่อนางพญาของพวกมันก็พากันพ่นน้ำพิษยับยั้ง นางถูกพวกมันสกัดกั้นชั้นแล้วชั้นเล่า กว่าจะกำจัดตัวผู้เหล่านี้เสร็จ ตัวนางพญาก็หนีไปไกลแล้ว
นางไล่ตามไปโดยไม่รั้งรอ
ระหว่างทางมีตัวผู้มาขัดขวางนางไม่หยุดหย่อน นางสังหารไปพลางไล่ล่าไปพลาง กระทั่งมาถึงลานเปลี่ยวในคฤหาสน์แห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว นางเหินข้ามราวกั้น คมกระบี่ดุจแสงจันทร์พาดผ่านสาดรอยเลือดหนึ่งสายกระเด็นไปเปรอะกระดาษกรุหน้าต่างสีขาวหิมะ หัวที่มีใบหน้าคนถูกบั่นจากลำตัว กลิ้งลงขั้นบันไดไปติดคาอยู่ข้างกระถางดอกไม้ ขณะที่นางกลับหลังหันไปกำจัดแมงมุมหน้าคนอีกสองตัว เส้นใยสีแดงก็ชักพาหัวที่อยู่ข้างกระถางดอกไม้ให้ค่อยๆ หมุนกลิ้งไปหาส่วนลำตัวโดยไร้เสียง ยามที่มันกำลังจะต่อติดกับรอยขาด กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงปราดลงมาจากด้านบน ทะลุขมับของมันออกไป เสียบลึกลงพื้นดิน
หลี่เจาเกอชักกระบี่กลับคืน สะบัดเพียงเบาๆ คราบเลือดบนกระบี่ก็อันตรธานไร้ร่องรอย นางหมุนตัวมองพิจารณารอบด้าน มีศาลาหอเก๋งอันงามประณีต มีสวนตกแต่งภูเขาจำลองซึ่งทำให้ทัศนียภาพดูเปลี่ยนไปในทุกย่างก้าว ตลอดจนมีแถบปิดผนึกของทางการปิดอยู่บนบานหน้าต่าง…นางทายออกแล้วว่านี่คือที่ใด
ในเมื่อมาถึงแล้วนางก็ไม่มัวเกรงใจ ผลักประตูเรือนดูทันที ภายในเรือนตกแต่งหรูหรางามกระจ่างตา คล้ายไม่นานก่อนหน้านี้ยังมีคนพำนักอยู่ ทว่านอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกอันฟุ้งเฟ้อต่างๆ ก็ไม่มีสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์
นางรื้อค้นชั้นหนังสือก่อนเดินออกจากเรือน ตลอดทางนางไล่ตามนางพญาอย่างกระชั้นชิด ทว่ามันไต่เข้ามาในนี้แล้วกลับหายตัวไป ตรงนี้มีพื้นที่แค่เท่านี้ มันจะหลบซ่อนที่ใดได้
หลี่เจาเกอเดินลัดเลาะกระถางดอกไม้ รู้สึกคลับคล้ายแผ่นหินใต้ฝ่าเท้าผิดปกติจึงใช้กระบี่เคาะดูทีละแผ่น มีบางบริเวณกลวงจริงเสียด้วย
นางบรรจุปราณแท้ลงในกระบี่ก่อนกระทุ้งแผ่นหินโดยแรง แผ่นหินบังเกิดรอยแตกทันตา นางก้าวปราดถอยหลัง เพิ่งจะยืนมั่นคงบริเวณเมื่อครู่นี้ก็ยุบตัว หน้าดินทลายลึกลงไปเรื่อยๆ ปากโพรงหยุดตรงหน้าเท้านางพอดิบพอดี
สุดท้ายเบื้องหน้านางปรากฏโพรงอันดำมืด ขนาดเพียงพอที่สองคนจะผ่านเข้าไปได้ นางมองดูครู่เดียวก็กุมกระบี่กระโดดลงไป
อีกฝ่ายอุตส่าห์ใช้ทุกวิถีทางล่อนางมาที่นี่ ในเมื่อมาถึงแล้วมีเหตุผลใดจะผ่านเลยประตูไปโดยไม่แวะเข้า
ขณะเดียวกันภายในจวนว่าการ แมงมุมหน้าคนยังคงแห่แหนมาหากู้หมิงเค่อกับโจวฉางเกิงไม่ขาดสายราวไม่มีวันจะฆ่าได้หมดสิ้น โจวฉางเกิงกุมกระบี่สับหัวแมงมุมหน้าคนตัวหนึ่งแบะเป็นสองซีกแล้วปาดเลือดบนหน้าตนเองลวกๆ ก่อนเอ่ย “ตรงนี้มอบให้ข้า ท่านตามนางไป”
กู้หมิงเค่อตบแมงมุมหน้าคนตัวหนึ่งแหลกในฝ่ามือเดียว แล้วเปลี่ยนทิศทางรุดจากไปโดยไม่ขานตอบ