หลี่ซั่นเอ่ยอย่างลังเล “เซิ่งหยวนเพิ่งหวนคืนราชวงศ์ ไม่สนิทกับพี่น้องคนใด นางหลักแหลมเสมอมา อาจจะไม่ร่วมย่ำน้ำครำบ่อนี้”
ชายารัชทายาทส่ายศีรษะ มองหลี่ซั่นอย่างเข้าใจปรุโปร่ง “องค์รัชทายาทวาจานี้ผิดแล้ว หากเซิ่งหยวนโน้มเอียงมาทางตำหนักบูรพา เหตุใดช่วงนี้จึงไม่เคยมาเยี่ยมท่านที่นี่เลย ต่อให้นางหมายจะเลี่ยงคำครหา เช่นนั้นในงานเลี้ยงที่วังซั่งหยางเมื่อสามวันก่อน นางมาหาพี่สะใภ้คนนี้สะสางเรื่องของซันหลางกันเป็นการส่วนตัวก็ได้ เหตุใดต้องฉีกหน้าสกุลหลูอย่างรุนแรงต่อหน้าผู้คนด้วย องค์รัชทายาทเพคะ ใจคนยากหยั่งคาด จะพระทัยดียั้งมือไม่ได้เชียว”
หลี่ซั่นแสนไม่ยินดีจะเชื่อเรื่องนี้ แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดให้โต้แย้งได้ นั่นสินะ หากหลี่เจาเกอยืนอยู่ฝ่ายเขาจริง งานเลี้ยงวันที่สิบสี่เดือนเจ็ดนั้นคงจะไม่ทำร้ายหลูซันหลางจนสาหัสหรอก นี่ไม่ใช่การกระทำที่อยากจะจับมืออยู่ฝ่ายเดียวกันเลย
สกุลจ่างซุนกับสกุลเผยเองก็ไม่ได้แสดงท่าที สำหรับสกุลจ่างซุนแล้ว ไม่ว่าผู้นั่งบัลลังก์จะเป็นหลี่ซั่นหรือหลี่ไหว ล้วนแต่เกี่ยวพันเป็นญาติกับสกุลจ่างซุน สกุลจ่างซุนจึงไม่จำเป็นต้องย่ำน้ำครำบ่อนี้ ส่วนสกุลเผยก็หมั้นหมายกับหลี่ฉังเล่อแล้ว ดูเหมือนว่าตัวเลือกของสกุลเผยจะชัดแจ้งยิ่ง
ชั่วขณะนั้นหลี่ซั่นจมอยู่กับความห่อเหี่ยว บิดาสนับสนุนเขาเพียงเพราะเขาคือบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก ส่วนมารดา น้องสาว กับท่านปู่ใหญ่จ่างซุนล้วนชอบน้องชายของเขามากกว่า อันที่จริงเขาเองก็รู้สึกว่าหลี่ไหวดียิ่ง อย่างน้อยก็มีคุณสมบัติสมเป็นบุตรชายมากกว่าเขา
เห็นหลี่ซั่นอารมณ์หดหู่ ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีก็รีบโน้มน้าว “องค์รัชทายาทอย่าได้ทรงท้อแท้ ท่านต่างหากคือผู้สืบทอดโดยชอบตามจารีตประเพณี ขุนนางราชสำนักล้วนยืนอยู่ฝ่ายท่าน ตราบวันใดที่ฝ่าบาทไม่เปลี่ยนพระทัย ตราบวันนั้นท่านก็คือว่าที่ประมุขแผ่นดิน สิ่งกีดขวางหนึ่งเดียวในเวลานี้…คือเทียนโฮ่ว”
ความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวงนี้ กล่าวอย่างชัดแจ้งไม่ใช่การแก่งแย่งระหว่างหลี่ซั่นกับหลี่ไหวสองพี่น้อง หากแต่เป็นการงัดข้อระหว่างตำหนักบูรพากับเทียนโฮ่วสองกลุ่มผลประโยชน์
เรื่องนี้หลี่ซั่นมีหรือจะไม่รู้ แต่…นั่นคือมารดาของเขา เขาจะทำเช่นไรได้
หลี่ซั่นถอนใจหนักๆ เอนหลังไปพิงตั่งก่อนถาม “เช่นนั้นตามความเห็นของท่านสวี ตำหนักบูรพาควรรับมืออย่างไร”
เมื่อครู่ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีแสดงความเห็นอย่างห้าวหาญ ถ้อยคำแหลมคม รอจนได้ยินคำถามของหลี่ซั่นกลับนิ่งเงียบไปทันที
ตอนนี้การต่อสู้ระหว่างตำหนักบูรพากับเทียนโฮ่วยื้อกันอยู่ที่ตัวรัชทายาท เทียนโฮ่วไม่ชอบที่หลี่ซั่นร่างกายอ่อนแอ อุปนิสัยโอนอ่อน ทว่าขุนนางกลับชอบอย่างยิ่ง อธิบายด้วยประโยคที่ผิดทำนองคลองธรรมว่า…ขุนนางแบ่งเบาความกลัดกลุ้มให้เจ้าเหนือหัว แต่ใช่ว่าจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าเหนือหัว
เจ้าเหนือหัวอ่อนแอขุนนางจะแข็งแกร่ง เจ้าเหนือหัวแข็งแกร่งขุนนางจะสามัญ แต่ไรมาล้วนไม่พ้นเช่นนี้ เจ้าเหนือหัวที่อ่อนแอผู้หนึ่งจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับขุนนาง ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ในราชสำนักยังคงมองแง่ดีที่หลี่ซั่นจะขึ้นครองราชย์ แม้เทียนโฮ่วมีความสามารถด้านการปกครอง ทว่าอำนาจของนางได้มาจากฮ่องเต้ หากไม่มีฮ่องเต้สนับสนุน อาศัยนางผู้เดียวไม่มีทางจะต่อต้านทั้งราชสำนักได้ นางมีสถานะเป็นพระมารดา ส่วนหลี่ซั่นมีจารีตประเพณีสนับสนุน กระดานนี้ต่างฝ่ายต่างมีแพ้ชนะ ตอนนี้เทียนโฮ่วกุมอำนาจสำเร็จราชการ แต่ฝีมือของขุนนางเก่าแก่หลายคนก็ไม่ด้อย ตำหนักบูรพามีหัวใจผู้คนเป็นพลังหนุน ไม่แน่ว่าจะแพ้เทียนโฮ่ว สิ่งที่ขณะนี้ตำหนักบูรพาขาดอย่างแท้จริง…คืออำนาจทหาร
รัชทายาทไม่อาจคุมกองทัพ ตำหนักบูรพามีแต่กลุ่มขุนนางบุ๋น ไม่มีสักคนมีอำนาจในกองทัพ หนึ่งปีมานี้หลี่เจาเกอคือขุมกำลังใหม่ที่ผงาดขึ้นกะทันหัน มีชื่อเสียงบารมียิ่งยวดทั้งในกองทัพและหมู่ราษฎร ซ้ำตอนนี้ยังคุมทหารหลวง เดิมทีตัวแปรเล็กๆ ไม่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวม ทว่าปัจจุบันตำหนักบูรพากับเทียนโฮ่วสู้เสมอกันอยู่ หลี่เจาเกอลูกตุ้มน้ำหนักลูกนี้จึงกลายเป็นตัวแปรที่เพียงพอจะพลิกการศึกสู่ชัยชนะได้
ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวช้าๆ “องค์หญิงเซิ่งหยวนจู่โจมคุณชายสามสกุลหลู เห็นชัดว่าจิตใจไม่อยู่กับตำหนักบูรพา เบี้ยเดิมพันไม่วางอยู่ฝ่ายเราก็จะไปวางอยู่ฝ่ายศัตรู ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ชิงทำลายทิ้งก่อน”
สีหน้าหลี่ซั่นค่อยๆ ขึงเกร็ง ถามหน้าเครียดขรึม “ท่านสวีวาจานี้หมายความเช่นไร”
“จั้นผู่แห่งถู่ปัวส่งทูตมาต้าถังเพื่อสู่ขอเจ้าสาว พวกเขาอยากได้องค์หญิงที่แท้จริงมาโดยตลอด” ผู้ช่วยพระอาจารย์สวีลูบเครามองไปทางหลี่ซั่น ในดวงตาที่ไม่หนุ่มแน่นแล้วคู่นั้นฉายความเย็นเฉียบที่ชวนให้ใจสั่น “ไยองค์รัชทายาทไม่ทรงเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ส่งองค์หญิงเซิ่งหยวนไปถู่ปัวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เล่า เช่นนี้ข้อแรกได้ตัดแขนซ้ายแขนขวาของเทียนโฮ่ว ข้อสองได้ดึงชาวถู่ปัวมาเป็นพวก เรียกว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ธันวาคม 2567)