ครั้นตกค่ำเฉินจิ้งจงก็ถ่อเรือประทุนพาหวาหยางไปกลางทะเลสาบ
ในประทุนจ่างกงจู่ที่นั่งอยู่บนตั่งอ่านหนังสือนั้นเขาเป็นคนอุ้มเข้ามาด้วยตนเอง อ่างดอกบัวกับข้าวของอีกจำนวนไม่น้อยก็ล้วนเป็นเขาย้ายมาตอนค่ำ
แสงจันทร์กระจ่างอาบไล้อยู่บนผิวน้ำสงบนิ่ง ครั้นราชบุตรเขยที่เป็นคนพายเรือวางไม้ถ่อเรือลงแล้วมุดเข้ามาในประทุน ระลอกคลื่นที่เกิดจากหัวเรือแล่นแหวกผ่านสายน้ำก็ค่อยๆ สงบลง
ทว่าเพียงไม่นานระลอกคลื่นลูกใหม่ก็กระเพื่อมไหวออกจากศูนย์กลางเรืออีกครั้ง ประเดี๋ยวเร็วประเดี๋ยวช้า ตัวเรือไม่ต่างอะไรกับถูกลมพายุไร้รูปร่างโถมถาเข้าใส่ ช้ายขวาแกว่งไกวหนักหน่วง
นับตั้งแต่เริ่มจนจบมีเพียงแสงจันทร์อ่อนละมุน
จนกระทั่งใกล้ยามไฮ่ในที่สุดเฉินจิ้งจงก็ปล่อยหวาหยาง
หวาหยางใช้เรี่ยวแรงกำลังที่เหลือพาตนเองกลับขึ้นตั่งอีกครั้ง นอนอยู่ข้างหน้าต่าง
เฉินจิ้งจงดึงม่านขึ้น เหลือเพียงม่านโปร่งบางๆ ชั้นหนึ่ง เรือลำน้อยแกว่งไกวไปมา หน้าต่างทางด้านนี้ยามนี้อยู่ฝั่งเดียวกับพระจันทร์บนท้องฟ้าพอดี บนพระจันทร์ครึ่งดวงมีเงามืดอยู่เล็กน้อยคล้ายหูยาวๆ ของกระต่ายหยก
หวาหยางหยิบผ้าห่มผืนบางที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาห่มคลุมตามสัญชาตญาณ
เฉินจิ้งจงโอบกอดนางจากทางด้านหลัง ยิ้มอยู่ข้างหูนาง “กลัวฉางเอ๋อร์จะเห็นเข้าอย่างนั้นหรือ”
“ข้าเพียงรู้สึกหนาวนิดหน่อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นฉางเอ๋อร์เองก็ไม่ใช่ท่าน เหตุใดนางต้องมองข้าด้วย”
เฉินจิ้งจงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงผ้าห่มครึ่งหนึ่งไปปิดร่างกายของตนเอง “เช่นนั้นข้าก็คงต้องกันไม่ให้นางลอบมองข้าแล้ว”
หวาหยางนึกอยากสั่งให้เขาปิดปาก
เฉินจิ้งจงนอนเป็นเพื่อนนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสวมกางเกงตัวใน นั่งยองๆ อยู่หน้าอ่างสำริดสองใบ ล้างทำความสะอาดของสิ่งนั้นอยู่ใต้แสงตะเกียงด้วยท่าทีจริงจัง
หวาหยางหันกลับมา พอเห็นเขาเอาจริงเอาจังเช่นนั้นก็อดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ “ท่านไม่รู้สึกว่ามันยุ่งยากเกินไปหน่อยหรือไร”
เฉินจิ้งจงมองนางปราดหนึ่ง “มีอะไรยุ่งยาก พวกมันล้วนเป็นของวิเศษล้ำค่า ข้าไม่ใช่พวกข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน* เป็นคนลืมบุญคุณคน”
หวาหยางชะงักไปชั่วขณะ “ข้าหมายความว่าตอนนี้ท่านข้าไม่ได้อยู่ในช่วงแสดงความกตัญญูแล้ว หรือท่านไม่คิดที่จะเลิกใช้มัน?”
“องค์หญิงคิดเช่นไร”
หวาหยางพูดออกมาตามตรง “ข้ารู้สึกว่าหลังจากของที่ท่านอาหญิงส่งมาให้ถูกใช้หมด พวกเราย่อมสามารถปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติได้ นึกไม่ถึงว่าท่านกลับไปสั่งมาเพิ่มอีก”
เดิมของที่ท่านอาหญิงมอบให้ปีหน้าก็ใช้หมดแล้ว แต่เพราะเสด็จพ่อสิ้นทำให้นางต้องไว้ทุกข์หนึ่งปี ดังนั้นของที่อยู่ในจวนจึงสามารถใช้ยาวไปได้ถึงปีรัชศกหยวนโย่วที่สาม
ถึงยามนั้นหวาหยางก็อายุยี่สิบสี่แล้ว หากพ่อสามียังแข็งแรงดี น้องชายนางก็ไม่ได้คิดแค้นอะไรอีกฝ่าย หวาหยางย่อมไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องครุ่นคิดวิตกกังวลอีก
ที่นางประหลาดใจก็คือเฉินจิ้งจงไม่ห่วงเรื่องมีลูกเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังไปหาหนทางป้องกันการตั้งครรภ์เองอีก
ดวงตาของหวาหยางสบอยู่กับดวงตาดำขลับสะท้อนแสงไฟของเฉินจิ้งจง นางพูดอย่างสงสัย “พี่ใหญ่พี่สามล้วนมีบุตรชายบุตรสาวแล้ว ท่านไม่นึกอิจฉาพวกเขาจริงหรือ”
“อิจฉา แต่ไม่รีบร้อน องค์หญิงกับข้าถึงจะแต่งกันมาสี่ปีกว่าแล้ว แต่ในช่วงระยะเวลาสองปีแรก ปีที่หนึ่งพวกเราไว้ทุกข์ให้กับฮูหยินผู้เฒ่านานหนึ่งปีเต็ม หลังจากนั้นยังต้องไว้ทุกข์ให้กับอดีตฮ่องเต้อีกหนึ่งปี วันเวลาที่พวกเราอยู่กันอย่างมีความสุข คิดมาคิดไปอย่างมากก็แค่หนึ่งปีครึ่งเท่านั้น ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งนี้ข้าส่วนใหญ่ล้วนออกจากบ้านแต่เช้า กว่าจะกลับมาก็มืดค่ำแล้ว ไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงเท่าไรนัก กระทั่งเวลาอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงก็ยังไม่มี แล้วจะเอากะจิตกะใจจากที่ใดไปอบรมเลี้ยงดูบุตร”