หวาหยางไม่เข้าใจนัก เขากับนางตอนกลางวันอยู่ด้วยกันน้อยก็จริง ทว่าตอนกลางคืนกลับตัวติดกันตลอด พบหน้ากันแทบทุกคืน เช่นนี้ยังเรียกว่าน้อยอีกหรือ
ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ทว่าสองตากลับใสกระจ่าง ความรู้สึกงุนงงสงสัยก่อนหน้านี้จางหายไปหมดสิ้น
เฉินจิ้งจงยกยิ้ม จัดการล้างของที่อยู่ในมือจนสะอาด สุดท้ายก็ตรวจสอบดูอีกรอบว่ามีอะไรรั่วซึมหรือไม่ หลังจากนั้นก็เอาไปตากไว้บนชั้นที่อยู่ด้านข้าง
เขาล้างมืออีกรอบก่อนจะจุ่มผ้าลงไปในน้ำ ย้ายมาปรนนิบัติรับใช้บรรพบุรุษตัวน้อยช่วยอีกฝ่ายเช็ดเหงื่ออยู่ที่ข้างตั่ง
หวาหยางรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว นางทำเพียงหลับตาลง
จ่างกงจู่ทั้งสูงส่งทั้งมั่นใจในตนเอง ดังนั้นจึงมักสำรวมท่าที จะมีเพียงยามนี้ที่นางเกียจคร้านเรียกให้เขาปรนนิบัติรับใช้เท่านั้นถึงจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่สะทกสะท้านเช่นนี้
แสงจันทร์กระจ่างใสดุจน้ำลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาจับอยู่บนเรือนร่างที่ปราศจากตำหนิของจ่างกงจู่
เฉินจิ้งจงหลุบตา ช่วยนางเช็ดเนื้อเช็ดตัวพลางถาม “องค์หญิงคิดว่าสามีภรรยาเป็นเช่นไร”
นิ้วมือของหวาหยางกุมผ้าปูที่นอนแพรไหมที่ปูอยู่บนตั่งอย่างยากจะสังเกตเห็น นางตอบว่า “หนึ่งหญิงหนึ่งชาย แต่งงานกันย่อมกลายเป็นสามีภรรยา”
“การแต่งงานก็เป็นแค่เพียงพิธีการ ทำให้คนสองคนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการเท่านั้น แต่พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นสามีภรรยาในนามเหล่านั้นก็ล้วนแยกทางเดินกันง่ายดาย”
หวาหยางเบิกตาขึ้นอย่างรวดเร็ว มองดูเขาอย่างไม่นึกเชื่อ “ท่านยังกลัวว่าข้าจะปลดท่านออกจากตำแหน่งราชบุตรเขย?”
เขามักจะพูดคำนี้ออกมา หวาหยางทำได้เพียงถือเสียว่าเขาปากไม่มีหูรูด
เฉินจิ้งจงพูดอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “รุ่งเพราะเซียวเหอ ดับเพราะเซียวเหอ”
หวาหยางขมวดคิ้ว “ท่านหมายความเช่นไร”
“เพราะตาเฒ่า ข้าถึงสามารถแต่งงานกับองค์หญิง แต่หากวันใดตาเฒ่าล้ม ท่านข้าจะเป็นเช่นไร”
หวาหยางสะท้านไปทั้งใจ เผลอคิดไปว่าเฉินจิ้งจงรู้อะไรเข้าให้แล้วเสียอีก!
ทั้งหมดเป็นเพราะสีหน้าท่าทางของเขาราบเรียบเกินไป ผนวกกับการแสดงออกทั้งหลายทั้งปวงของเขา หวาหยางจึงเข้าใจผิดคิดไปว่าเขารู้อะไรบางอย่างเข้าให้แล้ว แต่อันที่จริงเขาไม่รู้เรื่องอันใดแม้แต่น้อย เพราะหากเขาล่วงรู้ถึงจุดจบของบิดารวมถึงจุดจบของบ้านสกุลเฉินเมื่อชาติที่แล้วล่ะก็ เขาย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อนางเช่นนี้แน่นอน
“พอเถอะ เหตุใดต้องพูดเรื่องไม่เป็นมงคลเช่นนี้ด้วย” หวาหยางนึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย “ต่อให้ท่านเป็นลูกแท้ๆ ของท่านพ่อ อย่างไรก็ไม่ควรสาปแช่งเขาตลอดเวลา”
“ข้าไม่ได้แช่งเขา เพียงแต่เขายามนี้ล่วงเกินผู้คนมากเกินไป คนที่คัดค้านเขาหรือก็มีมากยิ่งนัก ไม่แน่ว่าอาจมีวันใดสักวันที่คนพวกนั้นสามารถล้มคว่ำเขาได้”
หวาหยางนิ่งเงียบ
นางเหมือนจะไม่เคยพูดคุยถึงสถานการณ์ในราชสำนักกับเฉินจิ้งจงอย่างจริงจังเช่นนี้มาก่อน
ขณะที่นางคิดจะพูดปลอบใจเขาด้วยคำพูดที่นางเองก็ไม่มั่นใจอย่างเสด็จแม่และน้องชายของนางต้องสนับสนุนพ่อสามีตลอดแน่ออกมา เฉินจิ้งจงก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
“องค์หญิงไม่อยากให้ข้าตาย แต่หากวันนั้นมาถึงจริง ตาเฒ่าไร้สิ้นยศถา ข้ากลายเป็นบุตรชายของชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง หรือไม่ก็ตาเฒ่าต้องโทษ ข้ากลายเป็นลูกของขุนนางนักโทษ ท่านจะทำเช่นไร”
หวาหยางไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน
เพราะชาตินี้เรื่องราวที่ว่ายังไม่เกิดขึ้น ส่วนชาติที่แล้วถึงคำพูดจากปากเขาพวกนั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่เขาก็ชิงตายจากไปเสียก่อน บ้านสกุลเฉินถูกเนรเทศไปชายแดน นางก็ยังคงเป็นจ่างกงจู่ผู้สูงศักดิ์
เฉินจิ้งจงลูบใบหน้าของนาง “ข้าไม่ปรารถนาจะใช้ลูกของเราผูกมัดองค์หญิงไว้”