บทที่ 137
หวาหยางนึกไม่ถึงว่าหลังเฉินจิ้งจงล้างของสิ่งนั้นเสร็จไม่ทันไร เขาจะเปลี่ยนมาพูดคุยจริงจังหนักแน่นได้เช่นนี้
นอกเหนือความคาดหมายมากจนนางไม่รู้ว่าตนเองควรตอบกลับเช่นไร
เฉินจิ้งจงช่วยนางสวมเสื้อผ้า ก่อนจะหยิบเสื้อนอกของตนเองขึ้นมาห่อคลุมร่างแล้วเดินออกไปถ่อเรือต่อ
เรือส่ายไหวไปมา หวาหยางนอนหนุนหมอน มองดูพระจันทร์ที่แขวนตัวอยู่บนท้องฟ้าห่างไกลผ่านม่านโปร่งที่บังขวางอยู่เบื้องหน้า
อันที่จริงเฉินจิ้งจงก็เพียงชอบทำตัวปากไม่มีหูรูดเท่านั้น เวลาต้องจริงจังขึ้นมาเขาล้วนจริงจังกว่าผู้ใด
เขาสามารถตะลอนไปมาอยู่บนเขาท่ามกลางพายุฝน ช่วยพวกชาวบ้านลี้ภัยโดยไม่ปริปากบ่น ไม่นึกอิจฉาพี่ชายที่เป็นขุนนางบุ๋นทั้งสองว่าได้ทำงานสบายกว่าตนเอง
เขาสามารถปรับปรุงกององครักษ์หลิงโจวอยู่ท่ามกลางขุนนางละโมบ ช่วยเหล่าทหารแย่งชิงไร่นาของกององครักษ์กลับมา ไม่อยากได้ใคร่มีประสงค์ในทรัพย์ ลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับขุนนางละโมบพวกนั้น
จริงอยู่ที่เขาอาศัยฐานะบุตรชายของเก๋อเหล่า อาศัยฐานะราชบุตรเขยเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขุนนาง เป็นผู้บัญชาการขั้นสามได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อาศัยความสามารถส่วนตัวนำพากององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงครองอันดับหนึ่งในการแข่งขัน อีกทั้งยังสร้างความดีความชอบในการปราบกบฏอวี้อ๋องอีกด้วย
การที่บุรุษซึ่งฉลาดปราดเปรื่องซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาเช่นนี้จะดูวิกฤตที่ซ่อนแฝงอยู่ภายใต้ความรุ่งโรจน์ของบ้านสกุลเฉินออก มีอันใดนอกเหนือความคาดหมายอย่างนั้นหรือ
บางทีหากหวาหยางเป็นเพียงสตรีธรรมดาทั่วไป เฉินจิ้งจงอาจบอกเล่าถึงความวิตกกังวลที่เขามีต่อครอบครัวให้นางฟังนานแล้ว เพียงแต่เพราะนางเป็นจ่างกงจู่ เป็นคนของราชสำนัก เขาถึงไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับนาง ป้องกันไม่ให้นางเข้าใจผิดแล้วเผลอหลุดปากพูดอะไรต่อฮ่องเต้กับไทเฮา ทำให้เรื่องพูดคุยยามว่างระหว่างสามีภรรยากลายเป็นเรื่องใหญ่พัวพันถึงราชสำนัก
เขารู้ว่าการปฏิรูปของผู้เป็นบิดานั้นไม่ใช่ง่าย แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะเตือนบิดาของตนมาก่อน ทำเพียงเตรียมการรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับบ้านสกุลเฉินอยู่เงียบๆ
การเตรียมการนี้ยังรวมถึงการไม่ใช้ลูกมาผูกมัดนาง
ผูกมัดไม่ผูกมัดอะไรกัน หากนางเห็นเขาไม่เข้าตา ต่อให้นางมีลูก นางก็ไม่มีทางคล้อยตามเขา
แต่เป็นตัวเฉินจิ้งจงเองต่างหาก เขาไม่เชื่อว่าชาตินี้นางไม่มีทางปลดเขาออกจากตำแหน่งราชบุตรเขย และยิ่งกลัวว่าเพราะมีลูก นางถึงต้องยอมล่มหัวจมท้ายอยู่กับราชบุตรเขยที่ทั้งตระกูลกำลังจมอยู่ในบ่อโคลน
เฉินจิ้งจงถามนางว่าเข้าใจหรือไม่ว่าสามีภรรยาคืออะไร
หวาหยางเข้าใจ เพราะนางเคยเห็นมาก่อน
สามีภรรยาที่แท้จริงจะยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนหลัวอวี้เยี่ยนกับเฉินเซี่ยวจง คุณหนูจวนโหวบอบบาง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลังเกิดเรื่องขึ้นกับบ้านสกุลเฉินนางสามารถเขียนหนังสือหย่าขาดตัดสัมพันธ์กับพวกเขาได้ แต่แทนที่หลัวอวี้เยี่ยนจะทำเช่นนั้น นางกลับยอมถูกตีตรวนตามเฉินเซี่ยวจงไปเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่ชายแดนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ
เฉินจิ้งจงไม่ปรารถนาให้หวาหยางผู้เป็นภรรยาต้องเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงเลือกยินดีเป็นฝ่ายปล่อยวางเอง เพราะเขาเป็นบุรุษหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี หากเกิดอันใดกับบ้านสกุลเฉินจริง เขาย่อมยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับบ้านสกุลเฉิน แต่เขาไม่หวังให้หวาหยางต้องมาตกทุกข์ได้ยาก ล่มหัวจมท้ายกับเขาเพียงเพราะลูกๆ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนมีทายาท และยิ่งปรารถนาจะถนอมวันเวลาแห่งความสุขของพวกเขาสองคนนี้ไว้
“ใกล้ถึงฝั่งแล้ว”
หลังเฉินจิ้งจงเอ่ยปากเตือนออกมาสั้นๆ เรือก็สั่นสะท้านเบาๆ ก่อนจะหยุดนิ่งอีกคราว
หวาหยางลุกขึ้นนั่ง
ม่านตรงทางเข้าประทุนเรือถูกเลิกเปิด เฉินจิ้งจงเดินเข้ามาพลางมองดูนางแล้วเอ่ยปากหยอกเย้า “บรรพบุรุษตัวน้อย ท่านเดินเองได้หรือไม่”
หวาหยางถลึงตาใส่เขา
เฉินจิ้งจงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตั่ง หวาหยางหมอบลงบนแผ่นหลังของเขา