ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก
ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 138-140
หวาหยางไม่ได้สนใจสายตาของเฉินจิ้งจง นางยังคงมองอาชาสีพุทราแดงตัวนั้น
ยามนี้เมื่อชาติที่แล้ว ถึงนางจะออกทุกข์แล้วและไม่จำเป็นต้องไว้ทุกข์ให้กับเฉินจิ้งจง แต่นางก็ไม่ได้มีอารมณ์วิ่งมาดูการถวายม้าของทูตแห่งต๋าต๋าถึงในวังหลวง ทว่านางพอจะจำเรื่องนี้ได้อยู่ รวมถึงข่าวที่แพร่สะพัดออกจากวังหลวงไป อู๋รุ่นเป็นคนไปสืบข่าวก่อนจะนำมารายงานให้นางฟังอีกที
ในเมื่อม้านี้ต้องการมอบให้กับฮ่องเต้ น้องชายของนางย่อมต้องลองขี่ดู แต่ม้าพยศเช่นนี้ เหล่าขุนนางใหญ่ไหนเลยจะกล้าให้เขาเสี่ยงอันตรายเข้าใกล้ ดังนั้นจึงให้ทหารองครักษ์ทดลองดูก่อน
ทหารองครักษ์ข้างพระวรกายสามนายถูกม้าพยศสะบัดตกจากหลังม้า ได้รับบาดเจ็บต่างกันออกไป
หลังจากนั้นพ่อสามีขององค์หญิงหนานคังจิ้งอันโหวก็ขันอาสาขอลองดู
จิ้งอันโหวเป็นแม่ทัพใหญ่ของราชสำนัก แต่เพราะเหตุอวี้อ๋องก่อกบฏจึงทำให้เขาถูกเมินเฉยนานถึงหนึ่งปีเต็ม ถึงเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายก็โชคไม่เข้าข้างถูกสลัดตกจากหลังม้าเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นเพราะอายุใกล้จะหกสิบแล้ว ภายหลังต้องพักรักษาตัวอยู่เป็นนานกว่าจะกลับมาเดินเหินได้เป็นปกติ
จิ้งอันโหวขันอาสาแต่กลับล้มเหลว ขุนนางบู๊คนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามขันอาสาอีก
ในตอนนั้นเองชีจิ่นก็เอ่ยปากแนะนำตนเอง บอกว่าเขาเป็นญาติผู้พี่ของหยวนโย่วฮ่องเต้ มักติดตามไปไหนมาไหนด้วยอยู่บ่อยๆ บนตัวมีกลิ่นอายของโอรสสวรรค์แฝงอยู่ ไม่แน่ว่าอาจทำสำเร็จ
ชีจิ่นมีความสามารถอย่างแท้จริง สุดท้ายก็สยบม้าพยศตัวนั้นได้สำเร็จ ทว่ากว่าจะสำเร็จกระดูกซี่โครงก็หักไปถึงสามซี่ แขนทั้งสองข้างเกือบใช้การไม่ได้
ม้าพยศที่ถูกปราบตัวนั้นเองก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย ยามนี้ท่าทางของมันไม่ได้ดูเย่อหยิ่งจองหองเหมือนก่อนแล้ว ดังนั้นหากน้องชายของนางจะเข้าไปทดลองขี่ ทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น สอดคล้องกับคำพูดของทูตแห่งต๋าต๋าก่อนหน้านี้ที่บอกว่าม้าตัวนี้จะยอมรับใช้เพียงโอรสสวรรค์แห่งจงหยวนเท่านั้น
เดิมเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้หวาหยางกังวลอะไร ทว่า…
นางลอบมองไปทางเฉินจิ้งจง
ต่อหน้าผู้เป็นน้องชายนางมักจะเอ่ยปากชมว่าเฉินจิ้งจงแข็งแกร่งกำยำ ชาติที่แล้วเฉินจิ้งจงตายไปก่อนแล้ว ทว่าชาตินี้เขากลับยืนเป็นปกติอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าอีกสักครู่น้องชายนางจะเรียกให้เขาออกไปปราบพยศม้าตัวนี้หรือไม่
ชีจิ่นล้มกระดูกซี่โครงหัก หวาหยางไม่ได้นึกใส่ใจอะไร แต่หากเป็นเฉินจิ้งจง นางคงทำใจไม่ได้และยิ่งกลัวว่าหากเฉินจิ้งจงตกม้า ที่หักน่าจะไม่ใช่แค่กระดูกซี่โครง
พอนึกเช่นนั้นนางก็เหงื่อซึมเต็มสองอุ้งมือ
เพียงไม่นานทูตแห่งต๋าต๋าก็จูงม้าสีพุทราแดงตัวนั้นเข้ามา เชิญให้หยวนโย่วฮ่องเต้ลองขี่ดู
หยวนโย่วฮ่องเต้ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด ขณะกำลังจะทดลองขี่ เฉินถิงเจี้ยนกับขุนนางในสภาขุนนางทั้งหลายก็พากันทัดทาน ปากของขุนนางบุ๋นเดิมก็ร้ายกาจอยู่แล้ว ยิ่งกับเก๋อเหล่าที่แทบจะกลายเป็นปีศาจไปแล้วเหล่านั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาต่างหยิบยกเอาคำพูดในตำราออกมาทั้งปรามทั้งช่วยรักษาหน้าให้หยวนโย่วฮ่องเต้ ทูตแห่งต๋าต๋าเหล่านั้นไม่มีใครฟังออกว่าตาเฒ่าเหล่านั้นกำลังพล่ามบ่นเรื่องอะไร เอาเป็นว่าที่พวกเขากำลังรอดูก็คือเรื่องน่าขันของเหล่าขุนนางจงหยวน
หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่คาด หยวนโย่วฮ่องเต้จัดเตรียมเหล่าทหารองครักษ์ให้ไปทดลองขี่
จู่ๆ หวาหยางก็เอ่ยปากถามทูตแห่งต๋าต๋า “คนในทุ่งหญ้าเช่นพวกท่านล้วนฝึกม้าเช่นนี้?”
ทุกคนต่างมองไปทางหวาหยาง
ทูตแห่งต๋าต๋าชื่นชอบในความงามของจ่างกงจู่ ยามตอบจึงเกรงอกเกรงใจไม่ใช่น้อย เอ่ยปากบอกถึงวิธีการฝึกม้าสองสามอย่างให้นางฟัง หนึ่งในนั้นคือวิธีการจัดการกับม้าพยศที่จับมาได้จากข้างนอกที่ปกติมักใช้วิธีการสยบมันด้วยกำลัง
“ได้ยินว่าชาวจงหยวนมักใช้แส้เหล็กลงโทษม้าที่ไม่เชื่อฟัง บุรุษแห่งทุ่งหญ้าอย่างพวกกระหม่อมไม่ได้ทำเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะม้ามีจิตวิญญาณ เป็นสหายที่ดีของพวกกระหม่อม เช่นนั้นแล้วไหนเลยจะจัดการกับมันเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานทั่วไปได้”
หวาหยางพยักหน้ากล่าว “ม้าเป็นสัตว์ที่มีจิตวิญญาณจริงๆ ม้าสีพุทราแดงที่ถูกพวกท่านเรียกว่าเป็นม้าวิเศษตัวนี้ จิตวิญญาณของมันเกรงว่าคงไม่ด้อยกว่ามนุษย์”
ทูตแห่งต๋าต๋ายิ้มยโส “มันฉลาดเฉลียวยิ่งนัก อ่อนแข็งล้วนไม่ยอมกิน ไม่ว่าทำเช่นไรมันก็ไม่ยอมให้ท่านข่านของพวกเราขี่”
“มันยินดีปรากฏกายต่อหน้าท่านข่าน นั่นก็แปลว่าตอนแรกมันยังต้องการรับใช้ท่านข่าน เพียงแต่ต่อมามันพบว่าท่านข่านมิใช่ผู้นำที่ประเสริฐสุดในแดนมนุษย์ สุดท้ายจึงไม่ยอมก้มหัวให้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของทูตแห่งต๋าต๋ากลับกลายเป็นแข็งขืนขึ้นมาทันที
หวาหยางมองไปทางน้องชายของตนเองอีกคราว “ม้าวิเศษพันปียากพบเจอ ก็เหมือนกับบุคคลผู้มีคุณธรรมและเพียบพร้อมด้วยสติปัญญาที่สามารถปกครองแผ่นดินที่ร้อยปียากจะพบพาน นับแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันผู้มีความสามารถล้วนมีนิสัยใจคอที่ต่างกันไป บ้างก็กระตือรือร้นเข้าสู่วงสังคม บ้างก็ปลีกวิเวกรอให้มีคนอย่างป๋อเล่อมาค้นพบ ก็เหมือนอย่างปฐมฮ่องเต้แห่งสู่ฮั่นที่ไปเยือนกระท่อมสามครั้งเพื่อเชิญจูเก่อ ให้มาทำงานให้ ฝ่าบาท ม้าตัวนี้ต้องการรับใช้ฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ กระทั่งบุรุษผู้องอาจห้าวหาญเยี่ยงท่านข่านก็ยังไม่อาจทำให้มันยอมศิโรราบด้วยใจ เห็นได้ชัดว่าที่มันมองหาไม่ใช่ผู้นำที่กรีธาทัพทำศึกไปทั่วทุกหัวระแหง แต่เป็นประมุขผู้ทรงคุณธรรมและห่วงใยใต้หล้าอย่างแท้จริง
ประมุขผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมให้ความเคารพและให้เกียรติผู้มีความสามารถ ทำให้ชาวบ้านทั่วทุกแห่งหนสวามิภักดิ์ ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทเองก็สามารถปฏิบัติต่อม้าตัวนั้นแบบเดียวกัน มาดูแลเยี่ยมเยือนมันบ่อยๆ ใช้น้ำพระทัยอันกว้างขวางของพระองค์ทำให้มันซาบซึ้ง มีแต่การกระทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะสามารถแสดงให้เห็นถึงวิธีการปกครองแผ่นดินของประมุขผู้ประเสริฐของราชสำนักเรา”
หยวนโย่วฮ่องเต้ “…”
เขายังคงตกตะลึงไปกับคำพูดของผู้เป็นพี่สาว พวกเฉินถิงเจี้ยนกับขุนนางบุ๋นคนอื่นๆ ต่างคุกเข่าลงเป็นกลุ่มแรก ตะโกนเสียงดังว่าจ่างกงจู่ทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก
ขุนนางบุ๋นคุกเข่าแล้ว ขุนนางบู๊เองก็ย่อมต้องคุกเข่าตาม
ชีไทเฮาแย้มยิ้ม มองดูบุตรสาวด้วยสายตายกย่องชื่นชมก่อนจะกล่าวกับหยวนโย่วฮ่องเต้ “คำพูดของจ่างกงจู่นับว่ามีเหตุผล ม้าตัวนี้เดินทางรอนแรมนับพันหลี่กว่าจะมาถึงดินแดนจงหยวนของพวกเรา ฝ่าบาทมิควรต้อนรับมันด้วยความรุนแรง เพราะนั่นมิใช่วิถีแห่งการต้อนรับแขกต้อนรับผู้มีความสามารถของพวกเรา”
หยวนโย่วฮ่องเต้ชอบม้าตัวนั้นยิ่งยวด ชอบจนถึงขนาดไม่อยากให้ใครช่วยฝึกฝนมัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้ดีว่าฝึกม้าพยศไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ง่ายดาย ต้องให้เขาค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับมัน มีขุนนางฝึกม้าค่อยๆ ลดความพยศของมันลงทีละน้อย บางทีอาจต้องรอสามสี่เดือน ม้าถึงจะยอมเชื่อฟังคำสั่งของเขา
หยวนโย่วฮ่องเต้อาศัยคำพูดเรื่องประมุขผู้มีเมตตากรุณารับมือกับทูตแห่งต๋าต๋า
ทูตแห่งต๋าต๋าได้แต่กล้ำกลืนฝืนข่มความรู้สึก ว่ากันด้วยเรื่องเหตุผลแล้ว ปากของพวกเขาทั้งหกเทียบไม่ได้แม้แต่สตรีงดงามหยาดเยิ้มอย่างจ่างกงจู่ผู้นั้น!
Comments



