นับตั้งแต่เฉินถิงเจี้ยนขึ้นเป็นราชเลขาธิการ เขาก็ตั้งกฎกับบ่าวเฝ้าประตูจวนว่าจะอนุญาตเพียงขุนนางที่มีงานหลวงเร่งด่วนต้องการปรึกษาหารือกับเขา หรือไม่ก็ชาวบ้านที่มีเรื่องต้องการร้องเรียนเท่านั้นถึงจะเข้าพบได้ รวมถึงเหล่าสตรีที่ต้องการมาเยี่ยมเยือนซุนซื่อผู้เป็นภรรยากับบรรดาลูกสะใภ้เท่านั้น แขกบุรุษที่เหลือล้วนไม่ให้เข้าพบ
ด้วยเหตุนี้ขุนนางที่คิดผูกสัมพันธ์กับราชเลขาธิการทั้งหลายจึงไม่มาแวะเวียนไม่มารบกวน ประตูหน้าของจวนสกุลเฉินจึงเงียบสงัด
เมื่อคืนตอนพลบค่ำเฉินจิ้งจงสั่งให้ฟู่กุ้ยแวะมาครั้งหนึ่ง แจ้งให้คนในบ้านรู้ว่าวันนี้พวกเขาจะกลับมา ดังนั้นสมาชิกบ้านสกุลเฉินทั้งหมดจึงออกมารวมตัวอยู่ด้วยกันแต่เช้า รอต้อนรับจ่างกงจู่
ครั้นบ่าวเฝ้าประตูให้คนมารายงานข่าว บอกว่ารถม้าของจ่างกงจู่เลี้ยวเข้าตรอกมาแล้ว เฉินถิงเจี้ยนกับซุนซื่อก็พาลูกๆ กับสะใภ้รวมถึงพวกหลานๆ ออกมาต้อนรับโดยพร้อมเพรียง
พอออกมาจากจวน สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นก็คือเฉินจิ้งจงที่นั่งอยู่บนหลังม้า
เฉินถิงเจี้ยน เฉินป๋อจง เฉินเซี่ยวจงที่เคยเห็นจ่างกงจู่เลือกม้าเองกับตา “…”
ส่วนทางซุนซื่อกับลูกสะใภ้ คนที่ตามีแววที่สุดคือหลัวอวี้เยี่ยน พอเห็นม้าของเฉินจิ้งจง นางก็กระซิบลงที่ข้างหูแม่สามีทันที
“ท่านแม่ ม้าของน้องสี่นั่นมิใช่ม้าธรรมดาๆ ไม่ถึงพันตำลึงซื้อมันไม่ได้แน่!”
ซุนซื่อที่กำลังรู้สึกว่าบุตรชายของตนเองวันนี้องอาจผึ่งผายเป็นพิเศษสองขาสั่นระริก หยัดยืนแทบไม่อยู่!
พันตำลึงอย่างนั้นหรือ นางกับตาเฒ่ามีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ เงินหมื่นตำลึงแน่นอนว่าย่อมต้องเคยพบเห็น ทว่าคนในตระกูลไม่ว่าจะหัวดำหรือหัวหงอกใครบ้างที่เคยใช้ของที่มีมูลค่าพันตำลึง งานนี้บุตรชายสุ่มสี่สุ่มห้าใช้เบี้ยหวัดราชบุตรเขย หรือว่าจ่างกงจู่ยอมล่มจมเพื่อบุตรชายของนางกันแน่
ซุนซื่อลอบชำเลืองไปทางผู้เป็นสามี
เฉินถิงเจี้ยนเม้มปาก
เฉินป๋อจงฝืนยิ้มยินดี อธิบายให้ผู้เป็นมารดาฟัง “ท่านแม่ เมื่อวานทูตต๋าต๋านำม้ามาถวาย ฝ่าบาทประสงค์จะตกรางวัลแก่จ่างกงจู่ จ่างกงจู่บอกว่านางเองคงไม่ได้ใช้ จึงเลือกม้าตัวนี้ให้น้องสี่”
ซุนซื่อคลายกังวล บุตรชายกับจ่างกงจู่ไม่ได้ควักเงินเองเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร!
รถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เฉินจิ้งจงเองก็ขี่ม้าตามช้าๆ เช่นกัน พอมาถึงหน้าประตูจวนสกุลเฉิน เฉินจิ้งจงก็ลงจากหลังม้าด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบ ทักทายผู้เป็นมารดาเหมือนไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเดิม
เฉินถิงเจี้ยนมองดูบุตรชายด้วยสายตาเย็นชา
เฉินจิ้งจงเดินไปประคองหวาหยางลงจากรถม้า
ท่าทางของเฉินถิงเจี้ยนกลับกลายเป็นสุขุมลุ่มลึกนอบน้อมขึ้นมาทันที
เขาไม่อาจพูดอันใด พอซุนซื่อเห็นจ่างกงจู่ผู้เป็นสะใภ้ นางก็พูดอย่างประหลาดใจขึ้นมาทันที “ม้าวิเศษเช่นนี้ จ่างกงจู่ใช้เองเหมาะสมกว่านะเพคะ ให้คนหยาบกระด้างอย่างเจ้าสี่ใช้เท่ากับเสียของโดยแท้ เขาไหนเลยจะคู่ควร”
เฉินจิ้งจงทำเพียงมองหวาหยาง
หวาหยางยิ้มให้แม่สามีแล้วกล่าวว่า “ม้าดีคู่วีรบุรุษ ราชบุตรเขยเป็นแม่ทัพบู๊ที่สร้างความดีความชอบในสงคราม ขี่ม้าตัวนี้นับว่าคู่ควรแล้ว ท่านแม่อย่าได้ช่วยเขาถ่อมตนเลย”
ซุนซื่อพูดกึ่งจริงจังกึ่งล้อเล่น “ตอนกลับหลิงโจวมีเพื่อนบ้านบอกว่าเห็นสุสานบรรพชนสกุลเฉินมีควันลอยละล่อง ควันนั่นคงไม่แคล้วเป็นโชควาสนาที่เหล่าบรรพบุรุษสั่งสมให้เจ้าสี่ ดูเอาเถิด เพราะเขาได้ติดตามจ่างกงจู่โดยแท้ถึงมีโชคลาภวาสนาเช่นนี้”
หวาหยางยิ้มมองไปทางพ่อสามี
เฉินถิงเจี้ยนพูดอย่างอับจน “จ่างกงจู่ประทานรางวัลให้ราชบุตรเขยนับเป็นโชควาสนาของเขา เพียงแต่เจ้าสี่ไม่รู้จักถ่อมตนเป็นที่สุด จ่างกงจู่ก็อย่าได้ทรงเอ็นดูเขาเกินไปนัก”
หวาหยางเอ่ยว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่พูดเช่นนี้ ทว่าเสด็จแม่กลับมักบอกให้ข้าดีกับราชบุตรเขยให้มากหน่อย พวกท่านต่างเป็นผู้อาวุโส ข้ายามนี้เริ่มสับสนแล้ว ไม่รู้ว่าจะฟังผู้ใดดี”
เฉินถิงเจี้ยนกับซุนซื่อ “…”
หว่านอี๋ยิ้มพลางเดินเข้าไปคล้องแขนท่านอาสะใภ้สี่ “ไทเฮาเป็นใหญ่ที่สุด ท่านอาสะใภ้สี่ย่อมต้องเชื่อฟังไทเฮา”
หวาหยางลูบศีรษะของเด็กสาวตัวน้อยก่อนจะเดินนำเข้าไปในจวนสกุลเฉิน
เพียงไม่นานชายหญิงก็แยกย้ายกันไป ต้าหลาง เอ้อร์หลาง และซานหลางเกาะแกะท่านอาสี่ขอให้พาพวกเขาไปขี่ม้า ส่วนเฉินถิงเจี้ยน เฉินป๋อจง และเฉินเซี่ยวจงเองก็ตามไปที่สนามม้าด้วยเช่นกัน