ชีฮองเฮาแย้มยิ้มอ่อนโยนมองดูใบหน้างดงามราวบุปผาของผู้เป็นบุตรสาว
งานแต่งงานที่บิดามารดาเป็นคนเตรียมการให้นี้ ขอเพียงผู้เป็นบุตรสาวไม่เห็นสามีขวางหูขวางตาก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวแล้ว ดีกว่าทั้งๆ ที่ไม่ชอบหน้ากันแต่กลับยังต้องฝืนร่วมเตียงเคียงหมอนอยู่ด้วยกัน
เพราะนั่งรถม้ามาเป็นเวลานาน หลังจากพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งความง่วงก็เข้าจู่โจม หวาหยางจึงผล็อยหลับไป
ชีฮองเฮาพลิกกายเปลี่ยนมานอนหงาย
เห็นบุตรสาวที่เพิ่งออกเรือนไปหมาดๆ ชีฮองเฮาก็อดหวนนึกถึงตนเองตอนยังสาวไม่ได้
นางหน้าตางดงาม ฐานะชาติกำเนิดหรือก็ไม่เลว ตอนอายุสิบสามสิบสี่ในช่วงวัยที่เพิ่งรู้จักคำว่ารัก นางเองก็เคยหวังว่าจะได้แต่งงานกับบุรุษที่ถูกตาต้องใจเช่นกัน
ทว่าสุดท้ายนางก็ถูกคัดเลือกเข้าวังไปในฐานะซิ่วหนี่ว์* ก่อนจะกลายเป็นสตรีของจิ่งซุ่นฮ่องเต้
จิ่งซุ่นฮ่องเต้โปรดปรานนางเป็นที่สุด แต่เป็นสตรีที่ฮ่องเต้โปรดปรานแล้วเช่นไร คืนวานเขาคลอเคลียอยู่กับนาง แต่พอคืนที่สองก็ไปใช้เวลาตลอดค่ำคืนอยู่กับสนมชายาคนอื่นแล้ว
ชีฮองเฮายังไม่ทันได้มีความรู้สึกอันใดกับจิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ถูกความมักมากของอีกฝ่ายทำจิตใจด้านชาหมดสิ้น จนถึงยามนี้จิ่งซุ่นฮ่องเต้อายุห้าสิบกว่าแล้ว ชีฮองเฮาก็ยังหวังว่าเขาจะไม่แวะเวียนมาหานางอีก
เทียบกับนางแล้ว หวาหยางนับว่ามีความสุขกว่ามาก เฉินจิ้งจงอายุยังน้อย องอาจหล่อเหลา ร่างกายแข็งแรงกำยำ ตรงไปตรงมา ที่สำคัญที่สุดคือเฉินจิ้งจงรวมถึงสกุลเฉินทั้งตระกูลล้วนไม่กล้าล่วงเกินบุตรสาวของนางผู้นี้
ด้วยเหตุนี้นางจึงชอบที่จะเป็นฮองเฮา อย่างน้อยตำแหน่งฮองเฮาก็มอบอำนาจให้นาง สามารถใช้ปกป้องบุตร ให้บุตรสาวของตนสามารถอยู่ในบ้านของผู้เป็นสามีได้ไม่ต่างอะไรกับปลาได้น้ำ*
เมื่อมีผลประโยชน์เช่นนี้ ความรักและน้ำใจเลื่อนลอยพวกนั้นจะมีหรือไม่มีก็หาได้เป็นไรไม่
หวาหยางนอนพักกลางวันอย่างมีความสุขก่อนจะตื่นขึ้นมาพบว่าผู้เป็นน้องชายเรียนช่วงบ่ายจบนานแล้ว ยามนี้กำลังรอนางอยู่
นางรีบลุกจากเตียงขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัวก่อนจะเดินออกไปอย่างสดชื่นแจ่มใส
“เสด็จแม่ เสด็จพี่ไม่ได้กลับมานานแล้ว ลูกอยากพานางไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง” องค์รัชทายาทเอ่ยปากขออนุญาต
ชีฮองเฮายิ้มตอบ “ไปเถอะ แต่อย่าเถลไถลนานนัก อย่างมากแค่ครึ่งชั่วยามก็พอ ถึงตอนนั้นเสด็จพ่อของพวกเจ้าน่าจะกลับมาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว”
สองพี่น้องพยักหน้าจูงมือกันเดินจากไป
ชีฮองเฮามองมือของพวกเขาสองพี่น้องแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย บุตรชายไม่ชอบถูกคนเห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่ยามถูกผู้เป็นพี่สาวจูงมือ เขากลับไม่แสร้งวางท่าเป็นผู้ใหญ่อีกต่อไป
เรื่องที่องค์รัชทายาทต้องการจะคุยกับผู้เป็นพี่สาวย่อมไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่ชีฮองเฮาประสงค์จะพูดกับธิดา
สองพี่น้องมาถึงศาลารับลมริมทะเลสาบ หวาหยางไม่ต่างอะไรกับนักเล่านิทาน นางเล่าเรื่องราวน่าสนใจมากมายที่เกิดขึ้นที่หลิงโจวให้ผู้เป็นน้องชายฟัง
องค์รัชทายาทสนอกสนใจหลิงโจวที่อยู่ไกลออกไปสองพันกว่าหลี่ ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบต้งถิง เขาอู่ตังและอื่นๆ ปรารถนาจะออกไปเที่ยวชมพวกมันดูสักครั้ง และหมายจะลงมือจับขุนนางชั่วมาลงโทษ ส่งเสริมขุนนางที่กระทำความดีด้วยตนเองสักครา
หวาหยางกินเมล็ดแตง เอ่ยปากคล้ายพูดไปเรื่อยเปื่อย “เจ้าเป็นองค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์ เพื่อความปลอดภัยของเจ้า เสด็จพ่อเสด็จแม่ไหนเลยจะวางใจให้เจ้าออกจากวังหลวงไปเที่ยวเล่น เรื่องออกไปเที่ยวชมทัศนียภาพภายนอกยามนี้ย่อมไม่อาจทำได้ แต่เรื่องที่เจ้าต้องการจับขุนนางชั่วมาลงโทษ ส่งเสริมขุนนางน้ำดีนั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด อย่างแรกเจ้าต้องเรียนรู้วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐเสียก่อน ภายภาคหน้าราษฎรทั่วทั้งแผ่นดินยังหวังให้เสด็จพ่อกับเจ้าช่วยให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์พูนสุข ไม่มีอันใดเดือดร้อนขาดแคลนอีก”
นางถือโอกาสใช้คำพูดของน้องชายชักจูงเขาเข้าสู่หัวข้อสนทนาที่เป็นจริงเป็นจัง
องค์รัชทายาทถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ความเป็นอยู่ของราษฎรยากลำบากเช่นนั้น?”
หากเป็นเมื่อชาติที่แล้ว หวาหยางย่อมไม่อาจเข้าใจ ทว่าชาตินี้นางได้ยินชาวบ้านที่หลิงโจวร้องเรียนเซียงอ๋องเองกับหู มีเฉินจิ้งจงช่วยให้นางเข้าใจถึงสถานการณ์ในกององครักษ์หลิงโจว ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางย่อมสามารถอธิบายให้ผู้เป็นน้องชายฟังได้อย่างละเอียด