บทที่ 68
แค่วันที่สองของการกลับมาอยู่ในวังหลวง เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่อยู่นอกวังหลวงก็ทยอยกันเข้ามาขอพบหวาหยางแล้ว
คนแรกที่มาถึงคืออันเล่อจ่างกงจู่ อาหญิงของหวาหยาง ‘ของดี’ ในอ่างดอกบัวที่นางกับเฉินจิ้งจงใช้อยู่เป็นประจำล้วนเป็นของที่อันเล่อจ่างกงจู่ประทานให้
เพราะอันเล่อจ่างกงจู่เลี้ยงดูชายบำเรอจึงได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงที่ประพฤติตนนอกรีตผิดธรรมเนียม ต่างกับชีฮองเฮาผู้ถูกยกย่องให้เป็นตัวอย่างของสตรีผู้ทรงธรรมทั่วหล้า ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัวนิสัยก็เข้ากันไม่ได้ หรือจะเป็นเพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าขุนนางและราษฎร ความสัมพันธ์ของพวกนางทั้งสองก็ล้วนไม่สู้ดีนัก แม้จะเป็นเพียงการพบปะกันธรรมดาชีฮองเฮาก็จะให้หวาหยางไปต้อนรับจ่างกงจู่ผู้นี้ที่ตำหนักซีเฟิ่ง
อันเล่อจ่างกงจู่อายุมากกว่าหวาหยางเพียงสิบปีเท่านั้น พวกนางสองคนถึงจะมีฐานะเป็นอาหลานกัน แต่ทางด้านความรู้สึกแล้วพวกนางคล้ายเป็นพี่สาวน้องสาวกันมากกว่า
พอมาถึงตำหนักซีเฟิ่ง หลังนั่งลงอันเล่อจ่างกงจู่ก็ยิ้มพินิจพิจารณาหลานสาวโดยละเอียด
หวาหยางควบคุมใบหน้าของตนเองไม่อยู่ รู้สึกร้อนผ่าวดั่งถูกไฟสุม
อันเล่อจ่างกงจู่ยิ้มกล่าว “ออกเรือนไปสองปีกว่าแล้ว เหตุใดหน้ายังบางเช่นนี้เล่า แล้วข้าจะพูดคุยเรื่องที่มิอาจพูดคุยตอนเจ้ายังเป็นดรุณีน้อยได้เช่นไร”
หวาหยางมองค้อนอีกฝ่ายคราหนึ่ง “ตอนนี้ข้าก็ยังคงเป็นดรุณีน้อยในเวลานั้น เรื่องพวกนั้นท่านอาเก็บมันไว้กับตัวเถิด อย่าเอามาพูดกับข้าเลย”
“เจ้าไม่รู้สักหน่อยว่าข้าต้องการพูดอะไร แล้วเหตุใดถึงรีบร้อนบอกให้ข้าปิดปากเล่า”
หวาหยางผินหน้าไปทางอื่น ทำท่าเหมือนกำลังโกรธขึ้ง
อันเล่อจ่างกงจู่ชอบแกล้งหลานสาวคนงามผู้นี้ยิ่งนัก ขยับเข้าไปนั่งชิดอีกฝ่าย เบียดไหล่นางเบาๆ พลางหยอกกระเซ้าเสียงแผ่ว
“เป็นเช่นไร ของดีที่อาหญิงมอบให้เจ้าไปก่อนหน้านี้ ใช้หมดแล้วหรือไม่”
หวาหยางก้มหน้า กุมแขนเสื้อพลางกล่าวว่า “ไหนเลยจะรวดเร็วเช่นนั้น ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย”
อันเล่อจ่างกงจู่ถามคาดคั้น “ทั้งหมดมีห้าสิบอัน ที่ว่าเหลืออยู่ไม่น้อยคือเท่าไร”
หวาหยางย้อนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจนัก “คงสิบหกสิบเจ็ดอันได้ ข้าไม่ได้เป็นคนนับ แต่คาดว่าน่าจะเหลืออยู่ประมาณนั้น”
อันเล่อจ่างกงจู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตากลอกกลิ้งไปมา คิดคำนวณอย่างรวดเร็ว “เอาเป็นว่าใช้ไปแล้วสามสิบสี่อันก็แล้วกัน หนึ่งอันใช้ได้สิบครั้ง นั่นก็หมายความว่านับตั้งแต่เดือนหนึ่งปีที่แล้วมาถึงตอนนี้ระยะเวลาหนึ่งปีครึ่ง หลานสาวกับหลานเขย…”
ยังไม่ทันคำนวณเสร็จ หวาหยางก็เดาได้ทันทีว่าท่านอาหญิงของนางกำลังทำอะไรอยู่ ความรู้สึกขัดเขินกลับกลายเป็นโกรธขึ้งทันควัน นางจักจี้รักแร้ของผู้เป็นอาหญิง ห้ามไม่ให้อีกฝ่ายคิดอีก
ถูกผู้เป็นหลานขัดจังหวะเช่นนั้น อันเล่อจ่างกงจู่ก็ถึงกับคิดอะไรไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเดาได้ว่าหลานสาวกับหลานเขยน่าจะรักใคร่กันไม่ใช่น้อย
“รักใคร่กันก็ดีแล้ว ตอนเจ้าออกเรือนใหม่ๆ ครั้งแรกที่ข้าเห็นคุณชายสี่สกุลเฉินก็รู้สึกว่าเขาหน้าตาหล่อเหลา ดูใช้การได้มากกว่าเฉินเก๋อเหล่า”
หวาหยาง “…”
คำว่า ‘ใช้การได้’ ที่ออกมาจากปากท่านอาหญิงคงหมายถึงเรื่องการงานในราชสำนักกระมัง
นางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หันมาถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ตลอดสองปีนี้ของอีกฝ่ายแทน
อันเล่อจ่างกงจู่ถอนหายใจ “ก็ไม่มีอะไร คนในจวนไม่ว่าจะหน้าตาหล่อเหลาสักเพียงใด เห็นอยู่ทุกวันย่อมเบื่อหน่ายเป็นเรื่องธรรมดา จะออกไปหาคนใหม่จากข้างนอกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกที่มีความสามารถไหนเลยจะยินดีลดตัวมาปรนนิบัติรับใช้ข้า ส่วนพวกไร้สามารถก็ยากจะมีหน้าตาหล่อเหลา…พูดถึงเรื่องนี้แล้วข้าก็อดโมโหไม่ได้ บุรุษบางคนเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นพวกแตงเบี้ยวพุทราฉีก แต่กลับมั่นหน้าคิดว่าข้าต้องตาเขา!”
หวาหยาง “…”
ความกลัดกลุ้มของท่านอาหญิงเหมือนกับสตรีทั่วไปเสียที่ไหน!