ทว่าท่านอาหญิงเพิ่งจะอายุสามสิบเท่านั้น หน้าตาหรือก็งดงามดั่งบุปผาเยี่ยงแขไข บุรุษธรรมดาทั่วไปไหนเล่าจะอยู่ในสายตานาง
“พวกเจ้าเล่า ตอนนี้กลับเมืองหลวงแล้ว ตั้งใจจะมีทายาททันทีหรือว่าจะรออีกสักสองสามปี” อันเล่อจ่างกงจู่ขยับไปนั่งลงบนเก้าอี้ของตนเองอีกครั้ง จิบชาพลางพูดสัพเพเหระ “หากเป็นอย่างหลัง อาหญิงจะได้มอบของวิเศษนั่นให้เจ้าอีกกล่อง”
หวาหยางจิตใจสะท้านไหว
ของวิเศษที่ว่านั่น สำหรับเฉินจิ้งจงแล้วมันใช้การได้เพียงเจ็ดแปดครั้งเท่านั้น แน่นอนว่าครั้งแรกตอนมันฉีกขาดเขารู้สึกขุ่นข้องไม่ใช่น้อย ส่วนหวาหยางเองก็ไม่ได้สนใจนับว่าแต่ละอันใช้การได้กี่ครั้ง
เอาเป็นว่าที่เหลืออยู่สิบกว่าอันนี้น่าจะพอให้ใช้ไปได้จนถึงปลายปี
หวาหยางพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงก่ำ
อันเล่อจ่างกงจู่เข้าใจแล้ว “ข้าจะจำไว้ หลังจากรวบรวมได้มากพอข้าจะให้คนส่งเข้าไป หวาหยางเจ้าเป็นคนฉลาด ลองดูหนานคังเป็นตัวอย่างก็ได้ นางออกเรือนก่อนเจ้าปีหนึ่ง ปีถัดมาให้กำเนิดบุตรสาว ตอนนี้กลับตั้งครรภ์อีกแล้ว วันๆ ได้แต่ป้องกันไม่ให้สามีของนางออกไปข้องแวะกับสตรีข้างนอก แค่ได้ยินข้าก็เหนื่อยแทนแล้ว สามีของนางไม่ได้หล่อเหลาวิเศษวิโสตรงที่ใด อยากทำตัวเหลวไหลเช่นไรปล่อยไปเสียก็หมดเรื่อง ไว้คลอดลูกเสร็จถึงตอนนั้นเลี้ยงองครักษ์ดูดีสักสองคน สองสามีภรรยาต่างแยกย้ายกันหาความสุขของตนเอง ดีออกจะตาย”
หวาหยางได้แต่ยิ้มไม่พูดอันใด
อันเล่อจ่างกงจู่พิจารณาดูหลานสาวอยู่สองคราว ก่อนจะถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “เจ้าไม่อยากมีทายาท คุณชายสี่สกุลเฉินเห็นพ้องด้วยอย่างนั้นหรือ หากข้าเป็นเขา คงให้เจ้าตั้งครรภ์ไปนานแล้ว มีก็แต่เจ้าตั้งครรภ์ให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ตำแหน่งราชบุตรเขยนี้ถึงจะมั่นคง”
หวาหยางแย้มยิ้ม “เรื่องนี้ข้าเป็นคนตัดสินใจ เขาไม่ยินยอมก็ไม่มีประโยชน์”
“อืม แบบนี้สิถึงจะเหมือนองค์หญิง เช่นนั้นเขาลอบไปกินคาวข้างนอกบ้างหรือไม่”
“เขามีหรือจะกล้า ไม่ต้องพูดถึงข้าก็ได้ บ้านสกุลเฉินเคร่งครัดในขนบธรรมเนียม หากเขากล้าทำตัวเหลวไหล เฉินเก๋อเหล่าต้องออกมาเอาเรื่องเป็นคนแรกแน่นอน”
อันเล่อจ่างกงจู่มีหรือจะไม่เคยได้ยินเรื่องบ้านสกุลเฉินมาก่อน นางพยักหน้ากล่าว “เสด็จแม่ของเจ้าถึงจะเด็ดขาดไปสักหน่อย แต่งานแต่งงานนี้ของเจ้านางนับว่าเลือกลูกเขยได้ไม่เลว ต่อให้ข้าเป็นคนเลือกก็คงเลือกหาตัวเลือกที่ดีกว่านี้ไม่ได้ อันที่จริงญาติผู้พี่ของเจ้าคนนั้นก็ไม่เลว ต้นไม้หยกรับลม น่าเสียดายที่หมั้นหมายไปเสียก่อน”
หวาหยางตกตะลึง พูดอย่างอับจน “ท่านพูดอะไรของท่าน ข้ากับญาติผู้พี่รักกันเยี่ยงพี่น้องเท่านั้น คำพูดนี้หยอกกระเซ้าข้าคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่ท่านห้ามเอาไปพูดเหลวไหลข้างนอกเด็ดขาด”
อันเล่อจ่างกงจู่เลิกคิ้ว “มีอะไร หรือเจ้ากลัวราชบุตรเขยจะหึงหวงเอา?”
“เขาเป็นพวกหยาบกระด้าง ไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้ ข้าแค่กลัวพี่สะใภ้จะเข้าใจผิด ทำลายความรักของนางกับญาติผู้พี่ก็เท่านั้น”
“พวกเขามีความรักให้แก่กันเสียที่ไหน เจอกันในงานเลี้ยงรับรองทีไร พี่สะใภ้ของเจ้าก็ล้วนทำหน้างอ เห็นชัดว่าพวกเขาสามีภรรยาไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
หวาหยางรู้สึกประหลาดใจ
เพราะถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังหลวง โอกาสที่นางจะได้พบเจอกับชีจิ่นญาติผู้พี่จึงมีไม่บ่อยนัก ยิ่งอีกฝ่ายแต่งงาน ทั้งปีโอกาสที่นางจะพบหน้าพวกเขาสองสามีภรรยาก็ยิ่งเหลือแค่ไม่กี่ครั้ง ความทรงจำที่มีต่อพี่สะใภ้สกุลเถียนผู้นั้นคืออีกฝ่ายหน้าตางดงามอ่อนโยน คล้ายคบหาได้ง่าย ส่วนด้านอื่นนางไม่ได้รู้จักกันมากนัก
หรือว่าสองปีมานี้ทางพี่สะใภ้เกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดเรื่องก็ไม่มีทางพัวพันมาถึงนางที่อยู่ไกลถึงหลิงโจวได้ ต่อให้เป็นก่อนหน้านี้ญาติผู้พี่ก็ไม่เคยมีท่าทีเกินเลยไปกว่าความเป็นพี่น้องกับนางเลยสักครั้ง
สองอาหลานเพิ่งพูดถึงญาติฝ่ายมารดาได้ไม่ทันไร ชีฮองเฮาก็ให้คนมาแจ้งข่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่า โหวฮูหยิน ฮูหยินซื่อจื่อจากจวนอู่ชิงโหวยามนี้ล้วนอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ ให้หวาหยางไปต้อนรับพวกเขา
อู่ชิงโหวชีเหวินหย่วนเป็นท่านลุงแท้ๆ ของหวาหยาง ส่วนฮูหยินทั้งสามรุ่นที่มาในวันนี้แบ่งเป็นท่านยายของนาง ป้าสะใภ้ และพี่สะใภ้เถียนซื่อ
“ในเมื่อพวกเขามาแล้ว ผานผานเจ้าก็ไปต้อนรับพวกเขาเถิด ข้าจะออกจากวังไปก่อน ไว้วันใดเจ้ามีเวลา ค่อยไปหาข้าที่จวนร่วมดื่มน้ำชากัน”
หวาหยางพยักหน้า หลังส่งท่านอาหญิงจากไป นางก็รีบตรงไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋