ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลชีท่านยายของหวาหยางยามนี้อายุห้าสิบเก้าแล้ว ทว่าเส้นผมยังดำขลับ ท่าทางกระปรี้กระเปร่า สวมเสื้อคลุมแขนยาวผ้าต่วนสีน้ำเงิน สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ใบหน้าถึงจะมีริ้วรอยยับย่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมองออกถึงความงามในยามสาว
“อา ในที่สุดองค์หญิงผานผานของพวกเราก็กลับมาแล้ว ยายคิดถึงเจ้ายิ่งนัก!”
พอเห็นหวาหยางเดินเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลชีก็ลุกขึ้นยิ้มตาหยี
หวาหยางรีบวิ่งเข้าไปโอบกอดหญิงชราที่เตี้ยกว่านางครึ่งศีรษะ เสด็จแม่กับท่านยายรูปร่างหน้าตาคล้ายกันยิ่งนัก และเพราะเหตุนี้ถึงพบเจอกันไม่บ่อย แต่หวาหยางกลับรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับอีกฝ่ายยิ่ง บางทีอาจเพราะสายสัมพันธ์ลึกล้ำทางสายเลือดเป็นเหตุ
หลังจากออดอ้อนผู้เป็นยายเสร็จ หวาหยางก็หันไปทักทายโหวฮูหยินที่ยืนอยู่อีกด้าน “ท่านป้าสะใภ้”
โหวฮูหยินสีหน้านอบน้อม เอ่ยปากชื่นชมนางด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม “สองปีไม่พบกัน องค์หญิงเหมือนจะงดงามมากยิ่งขึ้น ไม่ต่างอะไรกับเทพธิดาแดนสรวง”
หวาหยางแย้มยิ้ม สายตาเปลี่ยนไปจับจ้องอยู่บนใบหน้าของเถียนซื่อพี่สะใภ้ที่ยืนอยู่ทางด้านหลังป้าสะใภ้
ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหวาหยางก็ให้รู้สึกตกใจ ไม่ผิดอะไรจากที่ท่านอาหญิงว่าไว้จริงๆ เถียนซื่อใบหน้าซูบผอม แม้แต่แป้งชาดก็ยังไม่อาจปิดบังอำพรางริ้วรอยอ่อนล้าซีดเซียวนั้นได้ นางในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่ล้มป่วยหนักเลยแม้แต่น้อย
หวาหยางตกตะลึงกับสีหน้าท่าทีไร้ชีวิตชีวาของเถียนซื่อ เถียนซื่อกลับถูกความงามขององค์หญิงทิ่มแทงสายตา นางยิ้มอย่างอึดอัดออกมาคราหนึ่งก่อนจะก้มหน้าคล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ อับอายที่ไม่อาจเทียบอีกฝ่ายได้
โหวฮูหยินอธิบายให้หวาหยางฟัง “นางวาสนาน้อย ปีที่แล้วกว่าจะตั้งครรภ์ได้ก็มิใช่ง่าย แต่สุดท้ายกลับแท้งบุตร เป็นทุกข์เสียใจเหลือประมาณ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น”
พอได้ยินเช่นนั้นหวาหยางก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าชาติที่แล้วเหมือนจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ เพียงแต่เพราะไม่ได้ใส่ใจญาติผู้พี่กับพี่สะใภ้สักเท่าไรนัก นางจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
“พี่สะใภ้ได้โปรดระงับความโศกเศร้า ท่านอายุยังน้อย ดูแลร่างกายให้ดี ถึงตอนนั้นย่อมต้องสามารถมีทายาทได้อีก” หวาหยางเอ่ยปากปลอบใจอีกฝ่ายเสียงแผ่ว
เถียนซื่อพยักหน้าด้วยสีหน้าขมขื่น
ชีฮองเฮานั่งอยู่บนที่นั่งประธาน สายตากวาดมองไปทางเถียนซื่ออย่างไม่ใส่ใจนัก
เพราะบุตรสาวของนางเติบใหญ่อยู่ในวังหลวงจึงไม่มีโอกาสคบหากับบุรุษภายนอก ยิ่งเรื่องความรักด้วยแล้วก็ยิ่งไร้เดียงสา อายุสิบสี่สิบห้าก็ยังไม่รู้ตัวว่าสายตาของชีจิ่นญาติผู้พี่ที่มองมานั้นแฝงไว้ซึ่งสิเน่หา
บุตรสาวดูไม่ออก แต่นางกลับรับรู้ได้แต่แรก
ชีจิ่นเป็นหลานชายฝั่งตระกูลของชีฮองเฮา สง่าผ่าเผยและเชี่ยวชาญทั้งบู๊บุ๋น นางมีหรือจะไม่นิยมชมชอบหลานชายผู้นี้ เพียงแต่หลานก็คือหลาน ไม่เหมาะที่จะเป็นเขย
สกุลชีเป็นกำลังสำคัญของนางกับองค์รัชทายาทอยู่แต่เดิม ไม่จำเป็นต้องสานสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานอีก คนที่จะมาเป็นเขยของนางนอกจากจะต้องมีหน้าตาและความสามารถที่คู่ควรกับบุตรสาวแล้ว ชาติตระกูลก็ต้องเป็นประโยชน์ต่อการใหญ่ในภายภาคหน้าด้วยเช่นกัน
เพื่อไม่ให้ชีจิ่นตกบ่วงสิเน่หาเกินถอนตัวแล้วทำบุตรสาวของนางหวั่นไหว ทันทีที่ชีฮองเฮารับรู้ถึงเรื่องนี้ก็ขอให้ผู้เป็นมารดารีบจัดแจงเรื่องงานแต่งงานให้กับชีจิ่นทันที
เพราะเข้าใจถึงความคิดอ่านนี้ดี มารดาของนางจึงลงมือสู่ขอเถียนซื่อให้ชีจิ่นโดยเร็ว
สิ่งที่ทำให้ชีฮองเฮาพึงพอใจคือทั้งๆ ที่ชีจิ่นชอบหวาหยาง แต่ก็ไม่ได้บุ่มบ่ามมาพบนางเพื่อขอสมรสพระราชทาน กลับยอมรับเถียนซื่อเป็นภรรยาแต่โดยดี
น่าเสียดายที่ถึงนางกับมารดาจะสามารถจัดการให้ชีจิ่นแต่งงานกับเถียนซื่อได้ แต่กลับไม่อาจบังคับชีจิ่นให้รักเถียนซื่อได้ หลังจากแต่งงานกันมาสี่ห้าปี เถียนซื่อเพิ่งตั้งครรภ์แค่ครั้งเดียว มิหนำซ้ำยังรักษาไว้ไม่อยู่อีกต่างหาก
ชีฮองเฮาหลุบตา ยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
หลังจากนั่งอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ราวๆ ครึ่งชั่วยาม พวกฮูหยินผู้เฒ่าสกุลชีก็ขอตัวกลับ
ทันทีที่พวกนางจากไป ยังไม่ทันที่ชีฮองเฮาจะทันได้พูดอะไรกับหวาหยาง หลินกุ้ยเฟยก็พาองค์หญิงหนานคังผู้เป็นบุตรสาวมาเข้าเฝ้าต่อ