เฉินจิ้งจงเองก็มีความกล้าที่จะพลิกโฉมกององครักษ์หลิงโจวเสียใหม่ นอกจากอำนาจบารมีของพ่อตาผู้เป็นฮ่องเต้อย่างเขาแล้ว ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากการอบรมสั่งสอนบุตรชายของเฉินถิงเจี้ยน
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเพราะบุตรสาวต้องตามเฉินถิงเจี้ยนไปไว้ทุกข์ที่หลิงโจว ถึงทำให้นางจับพลัดจับผลูสามารถกำจัดหนอนโง่ตัวโตอย่างเซียงอ๋องได้สำเร็จ ช่วยให้มีเงินเข้าท้องพระคลังเพิ่มขึ้นหลายหมื่นตำลึง
เรื่องเหล่านี้บ่งบอกถึงสิ่งใด นี่แสดงให้เห็นว่าเฉินถิงเจี้ยนไม่เพียงมีความสามารถด้านการบริหาร แต่ดวงชะตาของเขายังรุ่งเรืองเป็นพิเศษอีกด้วย!
อีกอย่างก่อนเฉินถิงเจี้ยนจะไปจากเมืองหลวง จิ่งซุ่นฮ่องเต้เองก็เคยบอกอีกฝ่ายเป็นนัยๆ ว่าจะเก็บตำแหน่งราชเลขาธิการนี้ไว้ให้ ตอนนี้คนกลับมาแล้ว ฮ่องเต้อย่างเขาย่อมไม่อาจคืนคำ
ด้านหนึ่งเพราะรู้สึกขัดหูขัดตาเกาเก๋อเหล่าที่มักชักสีหน้าต่อหน้าตนเองอยู่เสมอ อีกด้านหนึ่งเพราะชื่นชมเฉินถิงเจี้ยน ดังนั้นเพียงไม่นานจิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ตัดสินใจได้
จิ่งซุ่นฮ่องเต้บอกว่าเกาเก๋อเหล่าอายุมากแล้ว หูตาฝ้าฟางไม่มีเรี่ยวแรงกำลังช่วยเขาบริหารบ้านเมืองอีกต่อไป แล้วเช่นนี้เกาเก๋อเหล่ายังจะพูดอะไรได้อีก
จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยืนกรานต้องการให้เขาไป ตอนนี้อย่างน้อยก็ยังยกเหตุผลขึ้นมาช่วยรักษาหน้าให้ หากเกาเก๋อเหล่ายังทำคอแข็งไม่เห็นด้วย ถึงตอนนั้นจิ่งซุ่นฮ่องเต้คงได้มอบผ้าแพรให้เขาสำเร็จโทษตนเองเป็นแน่!
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!”
เกาเก๋อเหล่าคุกเข่าลงกับพื้น ย้อนคิดถึงเรื่องราวต่างๆ นานาในอดีต น้ำตาก็หลั่งรินออกจากหางตา
เฉินถิงเจี้ยนค้อมกายประคองอีกฝ่ายขึ้น
เกาเก๋อเหล่าส่งเสียงประชดเย็นชาออกมาคราหนึ่งก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ตอนผ่านพวกเฉินจิ้งจงที่อยู่ตรงกลาง เกาเก๋อเหล่าก็ส่งเสียงประชดหนักหน่วงออกมาอีกคราว
อันที่จริงเฉินป๋อจงซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางบุ๋นขั้นสี่ก็กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินจิ้งจงผู้เป็นน้องชาย
แน่นอนว่าเกาเก๋อเหล่าต้องมองเห็นเขาด้วยเช่นกัน เพียงแต่เพราะรู้ว่าเฉินป๋อจงอาศัยความสามารถของตนเองสอบเป็นจ้วงหยวน มีความรู้ความสามารถแท้จริง จึงไม่ได้ส่งเสียงประชดหยันเย้ยใส่อีกฝ่าย
เฉินป๋อจงไม่รับน้ำใจของเกาเก๋อเหล่า เขาชำเลืองมองไปทางน้องสี่เงียบๆ
เฉินจิ้งจงยืนอยู่ทางนั้นสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม ร่างกายสูงตระหง่านดั่งต้นสน เพราะไม่มีเรื่องอันใดให้พูด ดังนั้นเขาจึงหลุบตาลง ตามองจมูกจมูกมองใจ ดูสงบนิ่งและสำรวมเป็นอย่างยิ่ง
พอเกาเก๋อเหล่าจากไป จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ประกาศเรื่องที่สองซึ่งก็คือการตั้งเฉินถิงเจี้ยนขึ้นเป็นราชเลขาธิการสภาขุนนาง
หลังจากนั้นจิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ยัดงานบริหารบ้านเมืองใส่มือของเฉินถิงเจี้ยน ส่วนพระองค์ก็ทำเพียงนั่งมอง
ครั้นการประชุมราชกิจเช้าเสร็จสิ้น จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็เรียกตัวเฉินถิงเจี้ยน เฉินป๋อจง และเฉินจิ้งจงไปพบที่ห้องทรงพระอักษร
จิ่งซุ่นฮ่องเต้เชื่อถือไว้วางใจเฉินถิงเจี้ยนยิ่งยวด จึงอนุญาตให้เขาจัดการทุกอย่างตามที่เห็นสมควร ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอันใด
ส่วนเฉินป๋อจงที่อยู่ในวัยสามสิบกว่าปี จิ่งซุ่นฮ่องเต้รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนตำแหน่งให้อีกฝ่ายได้แล้ว หากคอยตัดสินคดีอยู่ในศาลต้าหลี่ไปเรื่อยๆ วันหน้าย่อมไม่เป็นผลดีต่อการเลื่อนตำแหน่ง
เฉินจิ้งจงมักพูดเสมอว่าเพราะหวาหยางชื่นชมเฉินถิ้งเจี้ยนถึงได้ปฏิบัติต่อคนอื่นๆ ในสกุลเฉินเป็นอย่างดีเหมือนกับคำพูดที่ว่าเมื่อรักเรือนย่อมรักอีกาบนหลังคาเรือนด้วย จิ่งซุ่นฮ่องเต้เองก็เช่นกัน
เมื่อตอนเฉินจิ้งจงวัยสิบแปดปีกลับมาจากหลิงโจว เฉินถิงเจี้ยนยังไม่ทันคิดว่าจะจัดการกับผู้เป็นบุตรเช่นไร พอจิ่งซุ่นฮ่องเต้ได้ยินข่าวก็จัดการจับเฉินจิ้งจงโยนเข้าไปยังหน่วยองครักษ์เสื้อแพร มอบตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการขั้นสี่ให้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะต้องการให้เกียรติเฉินถิงเจี้ยน
ขนาดยังไม่รู้ชัดถึงความสามารถของเฉินจิ้งจง จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ลำเอียงเช่นนี้แล้ว กับเฉินป๋อจงนั้นจิ่งซุ่นฮ่องเต้ยิ่งนึกอยากบ่มเพาะปลูกฝังให้เขาเข้าไปทำงานอยู่ในสภาขุนนาง ส่วนทั่นฮวาเฉินเซี่ยวจงอายุยังน้อย ยังสามารถฝึกฝนต่ออีกสักสองสามปีก่อน