เฉินถิงเจี้ยนยังคงมีสีหน้าโกรธขึ้ง แน่นอนว่าเป็นความโกรธที่มีต่อผู้เป็นบุตรชาย “เหลวไหล ทหารกององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วยล้วนเป็นบุรุษแข็งแกร่งกำยำที่ได้รับการคัดสรรมาจากทั่วหล้า แต่ละคนฝีมือไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะสุ่มเลือกใครมาก็ใช่ว่าจะด้อยกว่าเจ้า เช่นนี้แล้วเจ้าถือดีอะไรไปบังคับบัญชาพวกเขา หรือเพราะเจ้าคิดว่าตนเองเป็นราชบุตรเขยเลยคิดว่าเหนือกว่าพวกเขา ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา!”
เฉินจิ้งจงไม่แม้แต่จะมองผู้เป็นบิดา คำพูดทั้งหมดของอีกฝ่ายล้วนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ท่าทีของเฉินถิงเจี้ยนทำเอาจิ่งซุ่นฮ่องเต้นึกขำ ขนาดภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้าก็ยังทำเฉินเก๋อเหล่าหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ไม่ใช่หรือไร จิ่งซุ่นฮ่องเต้รู้จักเฉินถิงเจี้ยนมาเกือบจะสามสิบปีแล้ว แต่พระองค์ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายถูกขุนนางคนใดทำให้เดือดดาลจนเอ่ยปากตำหนิออกมาตรงๆ แบบนี้มาก่อน
เฉินเก๋อเหล่าวางตนสุขุมลุ่มลึกมาโดยตลอด ขนาดโต้เถียงกับคนก็ยังเต็มไปด้วยเหตุผล คงมีเพียงตอนสั่งสอนบุตรชายเท่านั้นถึงจะพูดจาไร้มารยาท ไม่เกรงอกเกรงใจเช่นนี้
หลังมองดูความสนุกสนานตรงหน้าจบ จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ลูบเคราพลางกล่าวกับเฉินถิงเจี้ยน “กององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วย หน่วยที่อยู่ใต้การควบคุมโดยตรงของเราคือหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ส่วนกององครักษ์อื่นๆ ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของกรมทหาร รายละเอียดสถานการณ์เป็นเช่นไรเราเองก็ไม่ทราบแน่ชัด เก๋อเหล่าไหนลองบอกให้เราฟังหน่อยสิว่าหน่วยใดที่อ่อนด้อยที่สุด”
เฉินถิงเจี้ยนในใจสั่นสะท้าน
ไท่จู่กับเฉิงจู่กำหนดให้กององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วยเป็นกององครักษ์ที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการดูแลหรือโยกย้ายล้วนอยู่ภายใต้การตัดสินใจของฮ่องเต้ เพียงแต่ต่อมาเพราะเคยมีฮ่องเต้กรีธาทัพออกศึกด้วยตนเอง สุดท้ายไม่เพียงถูกศัตรูจับกุมตัวได้ ยังทำเอาเหล่าทหารฝีมือดีจากกององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วยพังพินาศไปกว่าครึ่ง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเหล่าขุนนางทั้งหลายจึงไม่กล้าให้ฮ่องเต้ควบคุมกำลังทหารอีก นอกจากองครักษ์เสื้อแพรแล้วกององครักษ์ที่เหลือทั้งยี่สิบห้าหน่วยล้วนทยอยกลับคืนสู่มือของกรมทหาร
คำพูดสบายๆ ของจิ่งซุ่นฮ่องเต้ประโยคนี้ หรือจะมีความหมายแฝงว่าอยากดึงอำนาจการควบคุมกององครักษ์ทั้งยี่สิบหกหน่วยกลับคืนมา?
เป็นเพราะเจ้าสี่แท้ๆ จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยเหตุใด!
ถึงในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน ทว่าสีหน้าของเฉินถิงเจี้ยนกลับยังคงสงบนิ่ง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบจิ่งซุ่นฮ่องเต้
“ทูลฝ่าบาท นิ้วมือทั้งสิบของคนเรายาวสั้นไม่เท่ากัน กององครักษ์ทั้งยี่สิบห้าหน่วยเองก็ย่อมมีความแข็งแกร่งแตกต่างกันบ้าง หลี่เจิ้งหยวนผู้บัญชาการกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงยามนี้อายุเลยหกสิบปีแล้ว บางทีอาจเพราะกำลังกายกำลังใจไม่พร้อม ในการแข่งขันประลองยุทธ์ระหว่างกององครักษ์หลายครั้งที่ผ่านมา กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงมักจะได้คะแนนต่ำสุดอยู่เสมอ”
กององครักษ์หลวงเหล่านี้ทุกๆ เดือนสิบเอ็ดจะมีการแข่งขันประลองความสามารถกัน แต่ละหน่วยจะคัดเลือกตัวแทนออกมาสิบคนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน อันดับจัดเรียงตามผลการแข่งขัน
น่าสงสารกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง ไม่ว่าเมื่อไรก็มักจะรั้งท้ายเป็นประจำ
ได้ยินเฉินถิงเจี้ยนพูดเช่นนั้น จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็นึกขึ้นได้ทันที ขอเพียงได้เป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอันดับหนึ่งจากหัวหรือจากท้ายก็มักจะทำให้คนจดจำได้ลึกซึ้ง เหมือนอย่างที่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ไม่อาจจำได้ว่ากององครักษ์ที่ได้อันดับรองสุดท้ายนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ใด
“ในเมื่อหลี่เจิ้งหยวนเฒ่าชราแล้ว เช่นนั้นก็ให้ราชบุตรเขยรับตำแหน่งหน้าที่แทนก็แล้วกัน ให้เขาไปเป็นผู้บัญชาการอยู่ที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง”
จิ่งซุ่นฮ่องเต้รับสั่งอย่างไม่รั้งรอ
เฉินถิงเจี้ยนรีบตอบ “ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าทำเช่นนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่ากององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงจะอ่อนแอสักเพียงใดก็ยังเป็นกององครักษ์หลวง ผู้บัญชาการต้องเป็นขุนนางขั้นสาม ราชบุตรเขยหาได้มีคุณสมบัติไม่”
“หลี่เจิ้งหยวนมีคุณสมบัติ แล้วดูสิว่ากององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงภายใต้การกำกับดูแลของเขาเป็นเช่นไร แม่ทัพเฒ่าชรารับผิดชอบไม่ไหวก็อย่าตำหนิหากเราจะให้โอกาสคนหนุ่ม ให้ราชบุตรเขยไปลองดูเถิด หากการแข่งขันฤดูหนาวปีนี้กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงยังคงเป็นอันดับสุดท้ายเหมือนเก่า เราค่อยย้ายราชบุตรเขยไปทำงานอื่น”
พอได้ยินเช่นนั้นเฉินจิ้งจงก็พูดอย่างกระจ่างชัด “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงไว้วางพระทัย กระหม่อมจะไม่ทรยศต่อความไว้วางพระทัยของฝ่าบาทแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยกยิ้ม
เฉินจิ้งจงเป็นบุตรชายของเฉินถิงเจี้ยนก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นราชบุตรเขยของพระองค์ด้วยเช่นกัน
ถึงเฉินถิงเจี้ยนจะไม่ชมชอบบุตรชายคนนี้ แต่พระองค์ก็ยังให้ความใส่ใจ ขอเพียงเฉินจิ้งจงรับหน้าที่กำกับดูแลกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงไว้ได้และยอมฟังคำสั่งของพระองค์ ถึงตอนนั้นกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงย่อมกลับมาเป็นกององครักษ์ที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้อีกครั้ง