บทที่ 70
เฉินถิงเจี้ยนยังคงอยู่พูดคุยกับจิ่งซุ่นฮ่องเต้ต่อ เฉินป๋อจงกับเฉินจิ้งจงถอยออกจากห้องทรงพระอักษรไปก่อนแล้ว
ในวังไม่ใช่สถานที่สำหรับเปิดอกพูดคุยกัน ถึงเฉินป๋อจงจะมีเรื่องราวต้องการถามน้องชายอยู่เต็มท้อง แต่เขาก็ได้แต่สะกดกลั้นมันไว้ก่อน
หลังเดินออกมาได้ชั่วระยะหนึ่ง เฉินจิ้งจงก็เอ่ยปากพูดกับผู้เป็นพี่ก่อน “ข้าเพิ่งรับพระบัญชาให้ดูแลกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง อีกครู่จะย้ายไปพำนักอยู่ที่นั่นเลย อย่างไรท่านก็ช่วยบอกกับท่านแม่แทนข้าด้วย”
เฉินป๋อจงเอ่ยถาม “เหตุใดต้องรีบร้อนเช่นนั้นด้วย พักที่บ้านก่อนสักคืนจะเป็นไร ท่านพ่อต้องมีเรื่องอยากถามเจ้าแน่ๆ”
“ข้ากับเขาไม่มีอะไรให้ต้องคุยกัน ช่างเถอะ ไว้อีกครู่ฟู่กุ้ยไปเก็บของแทนข้า ถึงตอนนั้นข้าจะให้เขาไปบอกกับท่านแม่เอง” พูดจบเขาก็ชักเท้าเดินจากไปอย่างเร็วรี่
ความเร็วของขุนนางบู๊เฉินป๋อจงไหนเลยจะไล่ตามทัน มีก็แต่เขาจะเดินได้องอาจดั่งเสือย่างมังกรทะยานเช่นน้องชายเท่านั้น แต่ในเมื่อเป็นขุนนางบุ๋น เว้นแต่จะเกิดเหตุเร่งด่วน เวลาย่างก้าวก็ต้องรักษาท่วงท่าที่สุขุมไม่เร่งร้อนเอาไว้
เฉินป๋อจงทำได้เพียงมองส่งน้องชายเดินไกลออกไปเรื่อยๆ
 
เฉินถิงเจี้ยนกลับมาที่สภาขุนนางใหม่อีกครั้ง วุ่นวายกับหน้าที่การงานอยู่ตลอดเช้า แต่ไม่ว่าจะยุ่งเพียงใดเขาก็ยังคงควบตำแหน่งอาจารย์ขององค์รัชทายาทอีกตำแหน่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินถิงเจี้ยนได้พบองค์รัชทายาทตามลำพังนับตั้งแต่กลับมายังเมืองหลวง
องค์รัชทายาทนั่งอยู่ในห้องเรียนตำหนักบูรพาอย่างเรียบร้อย พอเห็นเฉินถิงเจี้ยนเข้ามาก็ลุกขึ้นแสดงคารวะ “ศิษย์คารวะอาจารย์”
เฉินถิงเจี้ยนสีหน้าปลาบปลื้มยินดี รู้สึกว่าองค์รัชทายาทในตำหนักบูรพาผู้นี้เทียบกับเจ้าสี่สมัยเด็กแล้วนับว่ารู้ประสีประสากว่ากันมาก
เฉินถิงเจี้ยนมีบุตรชายสี่คน สามคนแรกล้วนเติบใหญ่อยู่ที่บ้านเก่าสกุลเฉินในหลิงโจว เขาไม่มีเวลาควบคุมดูแลด้วยตนเอง กว่าจะยืนหยัดมั่นคงอยู่ในเมืองหลวง ซื้อลานเรือนขนาดใหญ่ให้ทุกคนได้พักอาศัย รับมารดาภรรยาและน้องชายมาอยู่ได้สำเร็จ เจ้าสามก็อายุแปดขวบแล้ว มีแต่เจ้าสี่ที่เพิ่งจะอายุสามขวบ เพราะภายหลังเขารับหน้าที่เป็นอาจารย์ให้กับองค์รัชทายาทน้อยที่อยู่วัยเดียวกับเฉินจิ้งจงในเวลานั้น ดังนั้นเฉินถิงเจี้ยนจึงมักเอาพฤติกรรมของเจ้าสี่ในวัยเด็กมาเปรียบเทียบกับองค์รัชทายาทอยู่เป็นประจำ
เฉินถิงเจี้ยนรู้สึกอยู่ตลอดว่าบุตรชายทั้งสี่ของเขา เจ้าสี่โชคดีที่สุด เพราะตั้งแต่อายุน้อยก็ได้อยู่ข้างกายเขา ได้รับการสั่งสอนจากบิดาตั้งแต่เล็ก ส่วนพี่ชายทั้งสามนั้นกลับพลาดช่วงเวลาสำคัญเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย และก็ด้วยเพราะเหตุนี้เฉินถิงเจี้ยนจึงเชื่ออยู่เสมอว่าเจ้าสี่ที่ได้รับการชี้แนะอบรมจากเขามากที่สุดต้องเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาลูกๆ ทั้งหมด!
เฉินถิงเจี้ยนทุ่มเทความรักความใส่ใจของผู้เป็นบิดาที่ไม่อาจมอบให้กับบุตรชายทั้งสามคนแรกลงบนตัวเจ้าสี่หมดสิ้น!
เขาไหนเลยจะล่วงรู้ว่าบุตรชายทั้งสามที่ไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากเขามาก่อน แต่ละคนกลับฉลาดเฉลียว มีมารยาทรู้จักขอบเขต ไม่ว่าจะตำแหน่งซิ่วไฉหรือจวี่เหรินล้วนได้มาอย่างง่ายดาย เว้นก็แต่เจ้าสี่ที่ต่างจากชาวบ้าน ยิ่งโตก็ยิ่งไม่ชอบเรียนหนังสือ วันๆ เอาแต่ปีนกำแพงเลาะกระเบื้อง สั่งพวกบ่าวรับใช้ให้จับตาดูก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ปีนกำแพงบ้างก็มุดรูสุนัขลอด เจ้าสี่ล้วนมีวิธีหลบหนี กว่าจะกลับบ้านมาก็ต้องรอให้ฟ้ามืดเสียก่อน!
เฉินถิงเจี้ยนกลางวันยุ่งอยู่กับงานบริหารบ้านเมือง ตอนกลางคืนกลับบ้านมายังถูกบุตรชายทำให้เดือดดาลอีก เหนื่อยล้าทั้งกายใจ ภรรยาเองก็รักใคร่เจ้าสี่ไม่ยอมอบรมสั่งสอนเข้มงวดเช่นเดียวกับเขา ครั้นหมดหนทาง เฉินถิงเจี้ยนก็ได้แต่ปล่อยมือ ยอมให้เจ้าสี่ไปร่ำเรียนฝึกฝนการต่อสู้
เจ้าสี่พาอาจารย์สอนการต่อสู้หนีกลับบ้านเก่าสกุลเฉิน หลังจากนั้นไม่กี่ปีเฉินถิงเจี้ยนก็เริ่มเป็นอาจารย์ให้กับองค์รัชทายาท
ครั้งแรกที่ได้เห็นองค์รัชทายาทซึ่งตอนนั้นอายุสามขวบ เฉินถิงเจี้ยนก็ราวกับมองเห็นเจ้าสี่ในวัยสามขวบที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมา ในเวลานั้นเฉินถิงเจี้ยนสาบานกับตนเองว่าเขาจะต้องสอนองค์รัชทายาทให้ได้ดีให้ได้ จะไม่ปล่อยให้องค์รัชทายาทกลายเป็นเจ้าสี่คนที่สองเด็ดขาด
ยามนี้ท่าทีเปี่ยมมารยาทขององค์รัชทายาทปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว ไม่ใช่ว่าวิธีการสอนของเขามีปัญหา แต่เป็นตัวของเจ้าสี่เองต่างหากที่ดื้อด้านดึงดัน หัวรั้นเป็นที่สุด!
หลังแสดงคารวะกลับเป็นที่เรียบร้อย เฉินถิงเจี้ยนก็นั่งลง ลูบหนวดเคราพลางถามถึงความคืบหน้าในการเล่าเรียนขององค์รัชทายาทเป็นอันดับแรก
การได้พบกันอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปนาน แม้แต่องค์รัชทายาทเองก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชิน เขาจึงตอบคำถามของเฉินถิงเจี้ยนอย่างตั้งอกตั้งใจ
คาบเรียนนี้หลักๆ เป็นการอุ่นของเก่า เรียนรู้ของใหม่ ศิษย์อาจารย์เข้ากันได้ดี ตอนเลิกเรียนเฉินถิงเจี้ยนหยิบหนังสือสองเล่มที่ได้รับการเข้าเล่มเป็นอย่างดีออกมาจากหีบหนังสือที่เขานำติดตัวมาได้ แล้วส่งให้องค์รัชทายาทด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“นี่เป็นหนังสือชุดที่กระหม่อมเรียบเรียงไว้ตอนอยู่หลิงโจว ชื่อ ‘วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ’ ตอนนี้ขอทูลเกล้าฯ ถวายให้กับพระองค์ หวังว่าจะทรงโปรด”
องค์รัชทายาทเดินเข้ามารับหนังสือไว้ จากนั้นก็ส่งเล่มหนึ่งให้เฉาหลี่ต้าปั้นคนสนิท ส่วนตัวเขาก็เปิดดูอีกเล่มหนึ่ง
อ่านๆ ไป สายตาขององค์รัชทายาทก็เป็นประกาย!