เฉินถิงเจี้ยนเอ่ยว่า “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ทุกวันกระหม่อมจะยกเอาอดีตฮ่องเต้แต่ละพระองค์ขึ้นมาสนทนากับพระองค์”
องค์รัชทายาทตื่นเต้นเป็นที่สุด พอตื่นเต้นก็พลั้งเผลอลืมสำรวมตน เอ่ยปากถามด้วยความใส่ใจ “ได้ยินเสด็จพี่บอกว่าตอนอยู่ที่หลิงโจวท่านอาจารย์ล้มป่วย โชคดีที่ได้ท่านหมอหลวงหลี่ช่วยรักษาถึงพ้นจากอันตราย ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านอาจารย์หายดีแล้วหรือไม่”
รอยยิ้มตรงมุมปากของเฉินถิงเจี้ยนพลันชะงัก แม้จะเพียงชั่ววูบ แต่โชคดีที่เครายาวช่วยปิดบังไว้ไม่ให้ใครเห็นความผิดปกติ
“องค์รัชทายาทไม่ต้องทรงเป็นกังวล ตอนนี้กระหม่อมไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี ท่านอาจารย์ต้องดูแลสุขภาพให้มาก เรื่องราวมากมายในสภาขุนนางยังต้องการให้ท่านช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบา”
เฉินถิงเจี้ยนพยักหน้า แสดงคารวะก่อนจะถอยจากไป
 
หลังจากพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง องค์รัชทายาทก็ไปฝึกการต่อสู้อีกครึ่งชั่วยาม เสร็จแล้วก็เอาหนังสือ ‘วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ’ ทั้งสองเล่มไปพบผู้เป็นพี่สาวที่ตำหนักซีเฟิ่ง
ในช่วงกลางฤดูร้อน พอหวาหยางเห็นน้องชายเดินมาท่ามกลางอากาศร้อนเหงื่อท่วมศีรษะ ใบหน้าก็แดงเรื่อเพราะฝึกการต่อสู้เช่นนั้น นางก็รีบสั่งให้เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยนำน้ำมาปรนนิบัติรับใช้เช็ดหน้าเช็ดตาให้อีกฝ่าย
ตอนเช็ดหน้าองค์รัชทายาท หวาหยางพลิกดูหนังสือที่น้องชายพกติดตัวมาด้วย
หนังสือ ‘วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ’ ชุดนี้เมื่อชาติที่แล้วนางเคยเห็นมาก่อน และน้องชายก็เป็นคนเอามาให้นางดู แต่นางไม่เคยรู้เลยแม้แต่น้อยว่าพ่อสามีของนางได้เขียนเรียบเรียงขึ้นตอนไว้ทุกข์
‘วิถีแห่งฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ’ เล่มแรกบันทึกเหตุการณ์อันประเสริฐแปดสิบเอ็ดเรื่องของอดีตฮ่องเต้ยี่สิบสามพระองค์ ส่วนเล่มหลังเขียนถึงความประพฤติต่ำทรามสามสิบหกเรื่องของฮ่องเต้ทรราชยี่สิบพระองค์ ถ้อยความที่เฉินถิงเจี้ยนใช้ล้วนกระชับสั้นเข้าใจได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละเรื่องราวยังมีภาพประกอบมีชีวิตชีวาน่าตื่นตาตื่นใจแทรกอยู่ด้วย
ยามนั้นน้องชายและเสด็จพ่อต่างชื่นชอบหนังสือเล่มนี้ มีรับสั่งให้ทางสำนักกิจการฝ่ายในคัดลอกหนังสือชุดนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก หวาหยางเองก็มีเก็บไว้ชุดหนึ่ง
“เสด็จพี่ เฉินเก๋อเหล่าเคยให้ท่านอ่านหนังสือเล่มนี้หรือไม่”
ครั้นเนื้อตัวสะอาดสะอ้านแล้ว องค์รัชทายาทก็นั่งลงข้างหวาหยาง เอ่ยปากอย่างตื่นเต้น
เขาชอบภาพประกอบเรียบง่ายเหล่านั้น เทียบกับหนังสือที่เต็มไปด้วยตัวอักษรแล้วเรียกได้ว่าน่าสนใจกว่ากันมาก
หวาหยางยิ้มบอก “หนังสือเล่มนี้เก๋อเหล่าตั้งใจมอบให้เจ้าโดยเฉพาะ พี่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
องค์รัชทายาทปลื้มใจกับของขวัญชิ้นใหม่นี้ยิ่งยวด เรียกได้ว่าแทบไม่ปล่อยมันหลุดมือ
หวาหยางอ่านไปพร้อมกับน้องชาย พอเห็นภาพฮ่องเต้ขุนนางที่ราวกับมีชีวิตพวกนั้น นางก็พูดพลางย้อนคิด “วันเกิดของราชบุตรเขยปีที่แล้ว ของขวัญที่เฉินป๋อจงกับเฉินเซี่ยวจงมอบให้ล้วนเป็นอักษรภาพ วันนี้ได้มาเห็นผลงานของเก๋อเหล่าถึงได้รู้ว่าพรสวรรค์ของพวกเขาทั้งสองนั้นมาจากไหน”
องค์รัชทายาทกลับได้เห็นตัวอักษรของเฉินถิงเจี้ยนอยู่เป็นประจำ เขาถามผู้เป็นพี่สาว “แล้ววันเกิดของราชบุตรเขย เฉินเก๋อเหล่ามอบอะไรเป็นของขวัญให้เขา”
สมัยก่อนยามเขาฉลองวันเกิด เฉินเก๋อเหล่าล้วนมอบของขวัญให้
หวาหยางเอ่ยว่า “ไม่มีการมอบของขวัญให้นานแล้ว เฉินเก๋อเหล่าเป็นบิดาผู้เคร่งครัด ราชบุตรเขยกับพวกพี่ๆ พออายุสิบขวบ ในบ้านก็ไม่มีการฉลองวันเกิดอันใดอีก”
องค์รัชทายาทเข้าใจแล้ว เขามองดูหนังสือในมืออีกครั้ง พูดคล้ายกำลังบอกกับตนเอง “ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาเท่าไรกับการเขียนหนังสือเล่มนี้”
“เรื่องนี้พี่เองก็ไม่รู้ชัด แต่คิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะสักหนึ่งปี เฉินเก๋อเหล่าพยายามยิ่งนัก ฤดูหนาวที่หลิงโจวอากาศเย็นและชื้นมาก บ้านเก่าสกุลเฉินหรือก็ไม่มีตี้หลง จดหมายที่พี่เขียนกลับมาล้วนเขียนยามกลางวันที่แสงอาทิตย์กำลังดี เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ จดหมายที่พี่เขียนส่งมาตอนช่วงหน้าหนาวล้วนสั้นมาก นั่นไม่ใช่เพราะพี่เกียจคร้าน แต่เพราะมือพี่เย็นแทบเป็นน้ำแข็งต่างหาก”
องค์รัชทายาทเห็นอกเห็นใจผู้เป็นพี่สาวก่อน หลังจากนั้นในสมองก็ปรากฏภาพเฉินถิงเจี้ยนพ่นลมหายใจใส่ฝ่ามือพลางก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือต่อ
แม้เฉินถิงเจี้ยนจะเข้มงวด แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีกับเขายิ่งนัก
จู่ๆ หวาหยางก็ช่วยน้องชายปิดหนังสือ นางยิ้มกล่าว “หนังสือไว้ค่อยอ่านกันทีหลัง ตอนนี้พวกเราไปกินอาหารกับเสด็จแม่กันก่อนเถอะ”