จวนสกุลเฉิน
หลังเลิกงานเฉินถิงเจี้ยนก็ยังอยู่ในสภาขุนนางต่ออีกหนึ่งชั่วยามถึงจะเดินออกมา หลังจากนั้นเขาก็เดินไปตามถนนยาวเหยียดออกจากวังหลวงเพื่อมาขึ้นรถม้ากลับจวน
ตอนที่เพิ่งลงจากรถม้าเขาก็บังเอิญเห็นม้าสองตัววิ่งเลี้ยวเข้ามาจากปากตรอก คนที่อยู่บนหลังม้าตัวแรกหากไม่ใช่เจ้าสี่ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก
เฉินถิงเจี้ยนส่งเสียงประชดหนักๆ ออกมาคราหนึ่ง
นับตั้งแต่เจ้าสี่ใจกล้า ทูลขอตำแหน่งผู้บัญชาการกององครักษ์หลวงกับจิ่งซุ่นฮ่องเต้ เฉินถิงเจี้ยนก็นึกอยากพูดคุยกับผู้เป็นบุตรชายสักหน่อย แต่วันนั้นเจ้าสี่กลับย้ายไปอยู่ที่กององครักษ์เสียดื้อๆ แม้จะผ่านไปแล้วสิบกว่าวันอีกฝ่ายก็ไม่แม้แต่จะกลับบ้านสักหน หากคำพูดเหล่านั้นเป็นเมล็ดพืช ป่านนี้คงแตกต้นอ่อนอยู่ในท้องของเขานานแล้ว!
เฉินถิงเจี้ยนสะบัดแขนเสื้อ เดินเข้าจวนไปก่อน
ส่วนทางด้านเฉินจิ้งจง ถึงตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในเวลานี้จะยังห่างจากเฉินถิงเจี้ยนอยู่สองสามหลังคาเรือนคั่น ทว่าฟู่กุ้ยก็ยังคงรับรู้ได้ถึงสายตาเย็นเยียบของอีกฝ่ายจนรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง ทว่าเฉินจิ้งจงกลับมีสีหน้าท่าทางเป็นปกติ
ครั้นมาถึงหน้าประตูจวน ฟู่กุ้ยก็จูงม้าสองตัวไปที่โรงเลี้ยงม้า เฉินจิ้งจงกำลังจะมุ่งหน้าไปที่เรือนซื่ออี๋ถัง แต่กลับถูกพ่อบ้านที่เฝ้าอยู่หน้าประตูยิ้มกล่าวขัดขึ้นก่อน
“ราชบุตรเขย ฮูหยินรู้ว่าเย็นนี้ท่านจะกลับมาจึงได้กำชับผู้น้อยให้เชิญท่านไปกินข้าวที่เรือนชุนเหอถัง เก๋อเหล่าเองก็เพิ่งจะกลับมาถึงเช่นเดียวกันขอรับ”
เฉินจิ้งจงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเรือนหลัก
ราชบุตรเขยหนุ่มแน่นกำยำ ฝีเท้าคล่องแคล่วว่องไว พอเดินมาถึงระเบียงทางเดินของเรือนชุนเหอถัง เขาก็พบว่าบิดาของตนเพิ่งย่างเท้าเข้าโถงกลาง ส่วนผู้เป็นมารดากำลังยืนอยู่ข้างๆ พูดคุยอะไรบางอย่างกับอีกฝ่าย
ซุนซื่อกำลังปรึกษากับสามีว่าให้รอสักครู่ ให้เจ้าสี่กลับมาก่อนแล้วค่อยกินข้าวพร้อมหน้ากันสามคนพ่อแม่ลูก ทว่ายังไม่ทันพูดจบ เงาร่างของบุตรชายคนที่สี่ก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาเสียก่อน
ซุนซื่อยิ้มดีใจ เอ่ยปากบอกกับผู้เป็นสามี “เอาล่ะ ท่านก็รีบไปล้างมือเถอะ ข้าจะบอกทางโรงครัวให้จัดอาหารขึ้นโต๊ะเดี๋ยวนี้”
เฉินถิงเจี้ยน “…”
เขายุ่งอยู่ในสภาขุนนางมาตลอดทั้งวัน กว่าจะกลับบ้านได้ก็ไม่ใช่ง่าย แทนที่จะสามารถกินอาหารร้อนๆ ได้ทันที กลับยังต้องรอเจ้าสี่ก่อนอย่างนั้นหรือ ภรรยาของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ตอนนางยังสาวเขาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ทว่าในตอนนี้เขากลับเทียบเจ้าสี่ไม่ได้แล้ว!
เฉินถิงเจี้ยนอารมณ์ไม่ดีนัก
ซุนซื่อเอ่ยปากทักทายผู้เป็นบุตรชายด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า
เฉินจิ้งจงเอ่ยถาม “เพราะรอข้า ท่านแม่จึงยังไม่กินข้าว?”
“รอเจ้า? เจ้าคิดว่าตนเองหน้าตาหล่อเหลามากหรือไรกัน ระยะนี้ท่านพ่อของเจ้าล้วนกลับมาเวลานี้ ข้าแค่เพราะรอเขา เลยถือโอกาสรอเจ้าไปด้วยต่างหาก”
เฉินถิงเจี้ยนที่กำลังจะไปล้างมือในห้องรองส่งเสียงประชดออกมาคราหนึ่ง
“แล้วท่านแม่รู้ได้เช่นไรว่าวันนี้ข้าจะกลับมา”
“องค์หญิงทรงส่งข่าวมา บอกว่าจะกลับจวนวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นข้าเลยเดาได้ว่าเย็นนี้เจ้าต้องกลับมาแน่ เจ้าเป็นลูกของข้า แล้วข้ามีหรือจะไม่รู้ บิดามารดาจะไม่ใส่ใจก็ช่างเถอะ แต่ภรรยาของตนเองไหนเลยจะไม่เอ็นดูได้”
เฉินจิ้งจง “…”
ซุนซื่อผลักผู้เป็นบุตรชายไปที่ห้องรองเช่นเดียวกัน มองดูพ่อลูกสองคนล้างหน้าล้างมือ
ที่หน้าชั้นล้างหน้ามีอ่างสำริดวางอยู่ใบหนึ่ง เฉินถิงเจี้ยนเริ่มจากใช้ผ้าเช็ดหน้าเปียกๆ เช็ดหน้า ก่อนจะจุ่มผ้ากลับลงไปในน้ำแล้วขยี้สองสามคราว หลังจากนั้นก็เช็ดมือ
ซุนซื่อหยิบผ้ามาอีกผืน ขณะจุ่มผ้าลงในน้ำ เฉินจิ้งจงก็พูดอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ออกมา
“ข้าไม่ใช้น้ำร่วมกับผู้อื่น”
เฉินถิงเจี้ยนสีหน้าบึ้งตึง
ซุนซื่อถลึงตาใส่ผู้เป็นบุตรชาย “คำพูดนี้พี่ใหญ่พี่สามของเจ้าอาจพอพูดได้ แต่ต่อหน้าข้าเจ้าคิดจะแสร้งทำเป็นพิถีพิถันอย่างนั้นหรือ ตอนเล็กๆ ใครกันที่วันๆ เอาแต่กระโดดโลดเต้นอยู่ในบ่อโคลน อีกอย่างท่านพ่อของเจ้าวันทั้งวันได้แต่นั่งทำงานอยู่ในสภาขุนนาง เนื้อตัวแปดเปื้อนฝุ่นสักเท่าไรกันเชียว ต่อให้เช็ดถูทำความสะอาดทั่วทั้งตัว น้ำที่ใช้อย่างไรก็สะอาดกว่าน้ำที่เจ้าใช้ล้างหน้า!”
เฉินจิ้งจงจงใจมองไปทางด้านหลังของตาเฒ่า “วันๆ เอาแต่นั่ง ระวังจะกลับมาป่วยซ้ำ”
เฉินถิงเจี้ยน “…”
ซุนซื่อกะพริบตาปริบๆ หันกลับมาเตือนผู้เป็นสามี “ท่านเองก็เหมือนกัน อย่าได้แผลหายแล้วลืมเจ็บเล่า ท่านหมอหลวงหลี่ยามนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง”
เฉินถิงเจี้ยนโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งก่อนจะเดินตรงไปที่โถงกลาง
ซุนซื่อตะโกนเรียกสาวใช้ให้มาเปลี่ยนน้ำใหม่ เฉินจิ้งจงถึงยอมล้างมือ