บนโต๊ะอาหาร ซุนซื่อคีบกับข้าวให้บุตรชายไม่หยุด บุรุษหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี ทั้งยังเป็นขุนนางบู๊ ใช้แรงมาทั้งวันย่อมหิวได้ง่าย
เฉินถิงเจี้ยนเพราะคาดคะเนได้ว่าหลังจากผู้เป็นบุตรชายกินไปได้สักแปดส่วนคงเตรียมเผ่นแน่ ดังนั้นจึงพูดตักเตือนบนโต๊ะอาหารเสียเลย
“ในเมื่อฝ่าบาทให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงแล้ว เจ้าก็ตั้งอกตั้งใจทำงานให้ดี หากสามารถฝึกทหารเหล่านั้นให้แข็งแกร่งขึ้นมาได้ นั่นก็หมายความว่าเจ้ามีฝีมืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้ยโสโอหังและยิ่งห้ามทำตัวได้คืบจะเอาศอก คิดจะไปขอรับตำแหน่งอื่นจากฝ่าบาทอีกล่ะ”
ว่ากันตามผลงานของบุตรชายที่กององครักษ์หลิงโจว เฉินถิงเจี้ยนเชื่อว่าเจ้าสี่สามารถนำพากององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงให้เข้มแข็งขึ้นได้ สิ่งที่เขากลัวก็คือหลังจากที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงกลับกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นมา บุตรชายจะไม่รู้ว่าอะไรคือฟ้าสูงแผ่นดินหนา* อยากไปแสดงฝีมือในกององครักษ์หน่วยอื่นอีก
แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีการรับตำแหน่งขุนนางเช่นนี้ ต่อให้เป็นบุตรชายของเขาก็นับว่าไม่ถูกต้อง การที่ฝ่าบาทยอมให้เจ้าสี่เป็นผู้บัญชาการเช่นนี้ก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นแล้ว
เจ้าใหญ่นับว่าไม่เลว รู้จักสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึก ต่อให้เขามีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะไปฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์และโอกาสที่หกกรม แต่ก็ยังรู้จักควบคุมตนเองไม่บุ่มบ่าม
สองพ่อลูกทำงานอยู่ในสภาขุนนางด้วยกันย่อมเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ขณะเดียวกันก็อันตรายไม่ใช่น้อย ผู้อื่นอาจจะอิจฉา แต่เฉินถิงเจี้ยนกลับไม่สนใจ
เขาทำงานอยู่ในสภาขุนนาง ไว้วันหน้าเขาเฒ่าชราเกษียณออกจากตำแหน่ง หากราชสำนักมีขุนนางฝีมือดี เจ้าใหญ่จะทำงานอยู่ในศาลต้าหลี่ต่อไปก็ไม่เป็นไร หากราชสำนักไม่มีผู้มีความสามารถหลงเหลือ เจ้าใหญ่ย่อมสามารถแสดงความสามารถของตนออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้เป็นบิดาเช่นเขาเข้าไปทำงานอยู่ในสภาขุนนาง
เจ้าใหญ่กับเจ้าสามล้วนเชื่อฟังคำเขา อีกทั้งยังรู้จักให้ความสำคัญกับการใหญ่ มีก็แต่เจ้าสี่เท่านั้นที่ไม่ยอมรับฟังคำชี้แนะของเขา ทั้งยังชอบทำอะไรบุ่มบ่าม ทำเอาเขาถึงกับตั้งตัวไม่ทัน
ก็เหมือนอย่างเรื่องไปฝึกทหารที่กององครักษ์หลวง ดีที่ฝ่าบาทไม่นึกระแวงบ้านสกุลเฉิน หากเป็นฮ่องเต้พระองค์อื่นที่ขี้ระแวงอาจสงสัยว่าเขาเฉินถิงเจี้ยนสั่งให้บุตรชายพูดเช่นนั้น มีใจหมายแทรกแซงกององครักษ์หลวงทั้งยี่สิบหกหน่วย
ตอนนี้พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น เฉินถิงเจี้ยนก็ยังคงนึกประหวั่น
เฉินจิ้งจงก้มหน้ากินข้าว
เมื่อผู้เป็นบุตรชายไม่ได้ตอบโต้ เฉินถิงเจี้ยนจึงถือว่าอีกฝ่ายรับรู้แล้ว ครั้นสังเกตเห็นใบหน้าของเจ้าสี่เหมือนจะคล้ำแดดขึ้นมาเล็กน้อยก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้
“องครักษ์หลวงไม่เหมือนกับทหารท้องถิ่น มีทหารจำนวนไม่น้อยที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงหรือตระกูลขุนนางเก่าแก่ หลังจากเข้าไปรับตำแหน่ง คนพวกนั้นยินดีเชื่อฟังเจ้าหรือไม่”
“ข้าเป็นบุตรชายของเก๋อเหล่าและยังเป็นราชบุตรเขย ผู้ใดบ้างกล้าไม่ฟังคำ ต่อให้กลับไปฟ้องที่บ้าน บิดามารดาของพวกเขาก็มีแต่จะสั่งให้พวกเขาปิดปากอดทน”
เรื่องนี้เฉินถิงเจี้ยนเองก็พอเดาได้อยู่ บุตรหลานของตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจนั้น หากเป็นพวกมีหัวคิดมีความสามารถจริง หากไม่เดินอยู่บนเส้นทางของการสอบเป็นขุนนางก็ต้องฝึกการต่อสู้จนมีฝีไม้ลายมือเก่งกาจได้เป็นขุนนางบู๊คนสำคัญ จะมีก็แต่พวกลูกหลานตระกูลชั้นสูงที่เหลวแหลก ครอบครัวมักจะหาทางดันเข้ากององครักษ์สักแห่ง อย่างน้อยก็ยังมีเบี้ยหวัดไว้ใช้ส่วนหนึ่ง ดีกว่าปล่อยให้เที่ยวเตร่ไร้สาระไปวันๆ
“ไม่กลัวล่วงเกินสุภาพชน กลัวก็แต่ล่วงเกินคนถ่อย บางคนดูเผินๆ อาจเหมือนเชื่อฟังเจ้า ทว่าในใจกลับรอโอกาสล้างแค้น ถึงเจ้าจะเป็นราชบุตรเขย แต่หากตนเองกระทำความผิดถูกผู้อื่นจับได้ ฝ่าบาทไหนเลยจะยอมออกหน้าปกป้องเจ้า ดังนั้นจะพูดจะจาจะทำอะไรก็ระวังตัวให้มากๆ ใช่แล้ว สุราก็ดื่มให้น้อยๆ ลงสักหน่อย ไม่อย่างนั้นวันใดดื่มสุราเมาขึ้นมา ผู้อื่นจะฉวยโอกาสเล่นงานเจ้าได้”
พอนึกถึงพฤติกรรมของเหล่าลูกหลานตระกูลชั้นสูงที่เหลวแหลกพวกนั้น เฉินถิงเจี้ยนก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
สองพ่อลูกพูดคุยกัน ซุนซื่อทำเพียงนิ่งฟังอยู่เงียบๆ ยามนี้นางอดพยักหน้าไม่ได้ เตือนผู้เป็นบุตรชายตามสามีออกมาสองประโยค
เฉินจิ้งจงส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง ไม่รู้ว่าตอบรับหรือเพียงตอบส่งๆ
หลังจากผู้เป็นบุตรชายจากไป ซุนซื่อก็หันไปพูดอย่างแปลกใจกับผู้เป็นสามี “วันนี้ท่านแปลกคนจริงๆ ไม่เที่ยวสั่งสอนลูก มิหนำซ้ำยังพูดจาอ่อนโยนไม่น้อย”
“สั่งสอนไปแล้วมีประโยชน์อันใด ข้ากล้าด่าเขา เขาก็กล้าวางตะเกียบเดินจากไป ไม่กลับบ้านสิบวันครึ่งเดือน ถึงตอนนั้นแม้แต่โอกาสจะเตือนก็ไม่มีแล้ว ข้าไม่อยากเห็นวันใดเขากลับบ้านมาพร้อมเภทภัยใหญ่หลวงจนเดือดร้อนกันไปทั้งตระกูล”
ซุนซื่อยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ทันทีที่องค์หญิงเสด็จกลับมา เขาต้องวันๆ วิ่งกลับบ้านแน่ ถึงตอนนั้นท่านอยากสั่งสอนเขาเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น”
เฉินถิงเจี้ยนเม้มริมฝีปาก
เจ้าสี่ลุ่มหลงในความงามขององค์หญิง เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมต่อองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย สตรีสูงศักดิ์เช่นนั้นกลับต้องเผชิญหน้ากับคนหยาบกระด้างอย่างเจ้าสี่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้!