เรือนซื่ออี๋ถัง
เฉินจิ้งจงยังคงพักผ่อนอยู่ที่เรือนหลัง
เขาไม่ต้องการสาวใช้คอยเฝ้าตอนกลางคืน คืนนี้เฉาลู่กับเฉาหลานยังคงนอนอยู่ในเรือนเล็กด้านข้างที่จัดเตรียมไว้ให้พวกนางสาวใช้พักโดยเฉพาะ หนึ่งห้องนอนกันสองคน ทว่าเพิ่งเอนหลังลงนอนได้ไม่ทันไร พวกนางก็อดกระซิบกระซาบพูดคุยกันไม่ได้
“ราชบุตรเขยนี่ก็เหลือเกิน องค์หญิงจะกลับมาแล้วแท้ๆ ส่วนเขาเองก็กลับมาด้วย เขาดูไม่ออกเลยหรือว่าองค์หญิงไม่อยากให้เขาเข้ามาในเรือนหลังเลยแม้แต่น้อย”
“เรื่องนี้นั้นไม่แน่ บางทีตอนอยู่ที่หลิงโจว องค์หญิงกับราชบุตรเขยอาจรักกันแล้วก็ได้”
“ข้าไม่เชื่อ แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเห็นองค์หญิงรังเกียจใครเช่นเขามาก่อน ดูอย่างหลินกุ้ยเฟยกับองค์หญิงหนานคังก็ได้ องค์หญิงอย่างมากก็แค่ไม่คบหา ไม่ไปมาหาสู่กับพวกนางเท่านั้น”
“น่าเสียดายที่เจินเอ๋อร์กับจูเอ๋อร์ต่างอยู่ในวังหลวง ไม่อย่างนั้นพวกเราคงพอสอบถามพวกนางได้”
“ช่างเถอะ พรุ่งนี้องค์หญิงก็กลับมาแล้ว อา จะว่าไปข้าคิดถึงองค์หญิงจริงๆ น่าเสียดายที่บ้านเก่าสกุลเฉินเล็กเกินไป องค์หญิงเลยพาพวกเราไปด้วยไม่ได้”
คืนนี้สาวใช้ทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตารอองค์หญิงผู้เป็นนายต่างนอนไม่หลับด้วยกันทั้งคู่
ในห้องหลักเฉินจิ้งจงพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง กว่าจะข่มตาหลับได้สำเร็จเวลาก็เกือบจะล่วงเลยเข้ายามจื่อ
เช้าวันรุ่งขึ้นเฉินจิ้งจงกินอาหารเช้าอยู่ที่เรือนซื่ออี๋ถัง หลังจากจัดการกับเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จเขาก็ออกเดินทางทันที
ในวังหลวงจิ่งซุ่นฮ่องเต้ ฮองเฮา องค์หญิงหวาหยาง และองค์รัชทายาทล้วนอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋
องค์รัชทายาทมีท่าทีไม่ค่อยพอใจ “เหตุใดเสด็จพี่ถึงไม่อยู่ที่วังหลวงต่ออีกสักหลายๆ วันเล่า”
หวาหยางเอ่ยว่า “อยู่ต่อแล้วเช่นไร เจ้าต้องเรียนหนังสือฝึกยุทธ์ทุกวัน มีแต่ตอนกินอาหารเย็นเท่านั้นถึงจะพออยู่เป็นเพื่อนพี่ได้ ไม่เหมือนออกไปอยู่นอกวัง ตอนเช้าพี่ยังไปพอเดินเล่นอยู่ในเมืองได้บ้าง”
องค์รัชทายาทนึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย
หวาหยางยิ้มพูด “ตอนนี้อากาศยังร้อน ไว้อากาศเย็นลงอีกสักหน่อยแล้วพี่จะพาเจ้าออกจากวังไปเที่ยวเล่นสักวัน” พูดจบนางก็มองขออนุญาตไปทางชีฮองเฮา
จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็มองไปทางชีฮองเฮาเช่นกัน เรื่องอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทนี้ เขาเองก็ฟังนางเช่นกัน
ชีฮองเฮาขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะเอ่ยปาก หวาหยางก็ขยับเข้ามาพูดจาออดอ้อน “เสด็จแม่ ช่วงนี้น้องชายทั้งขยันหมั่นเพียรทั้งตั้งใจฝึกยุทธ์ เสด็จแม่ก็ถือเสียว่าประทานรางวัลให้เขาสักครั้งเถอะเพคะ ยิ่งไปกว่านั้นลูกเองก็จะให้ราชบุตรเขยคอยอยู่เป็นเพื่อนให้องครักษ์คอยติดตาม เช่นนี้แล้วยังทรงมีอะไรไม่วางพระทัยอีกหรือเพคะ”
ชีฮองเฮามองดูผู้เป็นบุตรสาว รู้สึกว่าอีกฝ่ายจากเมืองหลวงไปสองปีกว่า ยามนี้มีความรู้มีประสบการณ์ มีความคิดอ่านเป็นของตนเองมากขึ้น เมื่อก่อนบุตรสาวไม่เคยก้าวก่ายเรื่องที่นางอบรมบุตรชายเลยสักครั้ง
ครั้นนึกว่าครึ่งเดือนมานี้บุตรชายรู้ประสีประสาขึ้นมาก ชีฮองเฮาก็พยักหน้าตอบรับ
ไม่ต้องพูดถึงว่าองค์รัชทายาทดีใจเพียงใด เขาอายุสิบสองแล้ว นอกจากได้ตามเสด็จพ่อเสด็จแม่ออกจากวังก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ได้ออกไปโดยปราศจากการจับตามองของบุพการีทั้งสอง!
คราวนี้เขาไม่คัดค้านการออกจากวังของผู้เป็นพี่สาวแล้ว อาจรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างก็ตรงที่ไม่อาจกำหนดวันที่ตนเองจะออกจากวังได้ทันที
ตอนเฉินจิ้งจงเดินตามขันทีนำทางเข้ามา ภาพแรกที่เขามองเห็นคือจิ่งซุ่นฮ่องเต้กับชีฮองเฮากำลังมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน องค์รัชทายาทที่พินิจพิจารณาดูเขาด้วยท่าทีลิงโลดตื่นเต้น ตรงกันข้ามกับสีหน้าท่าทางของหวาหยางที่แลดูจืดจางที่สุด ถึงจะมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่ก็เป็นรอยยิ้มเกรงอกเกรงใจอะไรทำนองนั้น ดูไม่ออกถึงความสนิทสนมรักใคร่ระหว่างสามีภรรยา
ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรแปลก นอกจากตอนอยู่บนเตียงแล้ว ไม่ว่าช่วงเวลาใด ต่อหน้าเขาหวาหยางล้วนวางท่าทีเยี่ยงองค์หญิงเสมอ
เฉินจิ้งจงถวายพระพรจิ่งซุ่นฮ่องเต้ ชีฮองเฮา และองค์รัชทายาทตามลำดับ
จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยิ้มกล่าว “เอาล่ะ ผานผานพำนักอยู่ในวังนานแล้ว พวกเจ้าสองคนกลับไปกันเถอะ อีกครู่อากาศก็จะร้อนแล้ว”
เฉินจิ้งจง “…”
ผานผาน…นี่เป็นชื่อเล่นของนางอย่างนั้นหรือ
แต่งงานกันมานานเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ยินพ่อตาแม่ยายผู้สูงส่งเรียกนางด้วยชื่อเล่นอย่างใกล้ชิด