บทที่ 72
จากตำหนักเฉียนชิงไปจนถึงนอกเขตวังหลวงนั้นจำเป็นต้องเดินอยู่บนถนนยาวเหยียดอีกระยะหนึ่ง
ปลายเดือนหกสภาพอากาศยังคงร้อนอบอ้าว จิ่งซุ่นฮ่องเต้ไม่อาจทนดูบุตรสาวต้องตากแดดเหนื่อยยาก ดังนั้นจึงมีรับสั่งให้คนจัดเตรียมเสลี่ยงไว้ก่อนล่วงหน้า
ส่วนราชบุตรเขย เพราะเป็นขุนนางบู๊อีกทั้งยังหนุ่มแน่นสูงใหญ่กำยำ เดินไปเองย่อมไม่มีปัญหา!
แน่นอนว่าหวาหยางเองก็ไม่ได้เกรงอกเกรงใจบิดาแต่อย่างใด พอออกจากตำหนักเฉียนชิงมานางก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนเสลี่ยงทันที
ขันทีน้อยสี่คนช่วยกันหามเสลี่ยงหน้าหลัง มีขันทีน้อยอีกสองคนซ้ายขวายกร่มขนาดใหญ่สองคันที่มีลักษณะคล้ายพัดใบลาน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีแสงแดดอันใดแผดเผาผิวขาวราวกับหิมะขององค์หญิง
เพราะมีขันทีเหล่านั้นกั้นขวาง เฉินจิ้งจงจึงอยู่ห่างออกมาสองสามก้าว ส่วนพวกอู๋รุ่น เฉาอวิ๋น เฉาเยวี่ยนั้นเดินตามอยู่อีกด้าน
วังหลวงทุกหนแห่งเต็มไปด้วยขันที นางกำนัล องครักษ์ หวาหยางจำเป็นต้องรักษาท่วงที ไม่อาจเอียงคอผินหน้าไปพิจารณาดูเฉินจิ้งจงหรือพูดคุยกับเขาได้ ทำได้เพียงโบกพัดกลมในมือช้าๆ
เฉินจิ้งจงมองตรงไปข้างหน้า ชำเลืองดูเงาบนพื้นเป็นครั้งคราว
ใต้หล้านี้วังหลวงเป็นสถานที่สูงส่งเปี่ยมอำนาจบารมีที่สุด หวาหยางเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เติบใหญ่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้
ตอนอยู่ข้างนอกฐานะองค์หญิงของหวาหยางอันที่จริงก็นับว่าสูงส่งยิ่งใหญ่พอแล้ว ยิ่งมาอยู่ในวังหลวงโดยเฉพาะเช่นในเวลานี้ แม้ทั้งสองจะอยู่ใกล้กันเพียงใด แต่กลับราวกับมีเหวลึกที่ไม่อาจข้ามคั่นกลางอยู่ ห่างไกลเสียยิ่งกว่าระยะทางสองพันกว่าหลี่จากหลิงโจวถึงเมืองหลวงเสียอีก
บุรุษอื่นบางทีอายุเพียงสิบห้าก็ถวิลหาอิสตรี เฝ้านึกถึงการได้หลับใหลกับพวกนางอย่างไร้เงื่อนไข ทว่าเฉินจิ้งจงกลับไม่เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน หากไม่ฝึกฝนการต่อสู้ เขาก็ขึ้นเขาล่าสัตว์ หรือไม่ก็มองดูคนอื่นๆ ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรว่าทำงานกันเช่นไร ไม่ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใส่ตาเฒ่า ใส่พวกพี่ชาย
แต่ใครใช้ให้เขามีชะตาชีวิตประเสริฐเลิศล้ำเล่า ไม่ได้ทำอะไรสักนิด ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็มอบองค์หญิงที่งดงามที่สุดให้วังหลวงให้แต่งงานกับเขาแล้ว!
เหวลึกสองพันกว่าหลี่อะไรกัน คืนค่ำเตียงห้องปิดสนิท ทั่วหล้านี้ไม่มีผู้ใดสามารถแนบสนิทชิดเชื้อ อยู่ใกล้ชิดนางได้มากกว่าเขาแล้ว
เฉินจิ้งจงเดินอยู่ข้างเสลี่ยงของหวาหยางด้วยท่าทีเยือกเย็น ตอบรับสายตาพินิจพิจารณาของเหล่าองครักษ์และขันทีที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน
นอกเขตวังหลวง รถม้าขององค์หญิงหวาหยางจอดรออยู่ที่นั่นก่อนหน้าแล้ว
เหล่าขันทีน้อยวางเสลี่ยงลงอย่างมั่นคง เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยประคององค์หญิงผู้เป็นนายลงมาอย่างระมัดระวัง
หวาหยางมองไปทางอู๋รุ่น “ท่านกลับจวนองค์หญิงก่อนเถิด มีเรื่องอะไรข้าจะให้คนไปส่งข่าวบอกเอง”
องค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานสักหน่อย หลังออกเรือนจะได้รับพระราชทานจวนองค์หญิงเป็นของตนเอง แต่องค์หญิงสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตหลังแต่งงานอยู่ที่ใด
ชาติที่แล้วตอนหวาหยางแต่งงาน เสด็จแม่หวังว่านางจะพำนักอยู่ที่จวนสกุลเฉิน หวาหยางรู้ดีว่าเสด็จแม่ต้องการชักจูงพ่อสามีให้ร่วมปกป้องน้องชาย แต่งก็แต่งแล้ว แน่นอนว่านางย่อมยินดีให้ความร่วมมือ จนกระทั่งเฉินจิ้งจงตายอยู่ในสนามรบ หวาหยางถึงได้ย้ายมาพำนักอยู่ที่จวนองค์หญิง อาจกลับไปเยี่ยมพ่อสามีแม่สามีบ้างเป็นครั้งคราวแต่ไม่พักค้าง
ชาตินี้หวาหยางตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ว่าเช่นไรตนเองต้องกลับไปพักอยู่ที่จวนองค์หญิงแน่ ส่วนที่ว่าจะเป็นเมื่อไรนั้นนางเองก็ยังบอกไม่ได้แน่ชัด เอาเป็นว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ก็แล้วกัน
“พ่ะย่ะค่ะ”
อู่รุ่นยืนนอบน้อมอยู่ข้างรถม้า มองดูองค์หญิงขึ้นรถม้าไป ราชบุตรเขยก็ตามขึ้นไปเช่นกัน เขาขยับหลบไปยืนอยู่ข้างรถม้าอีกคราว