ในรถม้า
ไม่ว่ารถม้าของหวาหยางจะใหญ่โตกว้างขวางเพียงใด เมื่อบุรุษผึ่งผายอย่างเฉินจิ้งจงนั่งลงข้างๆ ในรถม้าก็กลับกลายเป็นคับแคบเบียดเสียดขึ้นมาทันที
หวาหยางแทบจะรับรู้ได้ถึงไอร้อนอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของบุรุษรูปร่างกำยำล่ำสันที่แผ่ซ่านออกมาจากกายของอีกฝ่าย รอบตัวนางคล้ายมีเปลวเพลิงไร้รูปลักษณ์ห่อหุ้ม
นางออกแรงโบกพัดเล็กๆ เฉินจิ้งจงทำเพียงนั่งนิ่งอยู่ข้างนาง
หวาหยางชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะสั่งให้สารถีเคลื่อนรถม้า
รถม้าเคลื่อนขึ้นหน้าไปอย่างมั่นคง
หวาหยางสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับระแวดระวังเล็กน้อย วิตกกังวลเกรงว่าไม่ได้เจอกันนานเช่นนี้ เฉินจิ้งจงอาจคิดทำอะไรเหลวไหลในรถม้าขึ้นมาอีก
ทว่ารถม้าเคลื่อนตัวมาได้ราวๆ หนึ่งถ้วยชาแล้ว แต่เฉินจิ้งจงกลับนั่งนิ่งไม่ขยับราวกับภิกษุเฒ่าชรา หวาหยางระงับความสงสัยไม่อยู่ นางผินหน้ามองไปทางเขา
ประหลาดจริงๆ นางเพิ่งจะผินหน้าไปได้ไม่ทันไร เฉินจิ้งจงก็หันหน้ามาเช่นกัน นัยน์ตาดำขลับจ้องดวงตาของนางเขม็ง
หวาหยางสับสน ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นชัดเจนมากขึ้นทุกที นางขมวดคิ้วน้อยๆ ถามเขา “ท่านเป็นอะไรไป เหตุใดถึงไม่พูดไม่จา ปกติข้าต้องสั่งให้ท่านปิดปากถึงจะได้ หรือว่าช่วงที่ข้าอยู่ในวังหลวง ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เฉินจิ้งจงจ้องตานางก่อนจะเลื่อนลงมามองริมฝีปาก หลังจากนั้นก็เอ่ยปากกล่าวว่า “ไม่ได้เจอหน้ากันนาน ข้ารู้สึกว่าองค์หญิงกลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว เกรงจะพูดอะไรผิดล่วงเกินองค์หญิงเข้า”
หวาหยาง “…”
วาจาพิลึกพิลั่นเช่นนี้เหตุใดนางถึงได้คุ้นเคยนัก
นางถลึงตามองไป ทันใดนั้นเฉินจิ้งจงก็ยิ้มพลางยื่นมือมาทางนาง หมายช้อนนางขึ้นไปวางบนตัก
หวาหยางตาไวมือไว รีบใช้ด้ามพัดเคาะหลังมือของเขาแล้วเอ่ยปากตำหนิเสียงแผ่ว “อากาศร้อนอบอ้าว อย่าทำข้าหงุดหงิด”
จวนสกุลเฉินในเมืองหลวงเป็นเสด็จพ่อของนางพระราชทานให้หลังเฉินถิงเจี้ยนเข้ามาทำงานในสภาขุนนางได้ไม่นาน อยู่ใกล้เขตวังหลวง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งรถม้าก็แล่นมาถึง หวาหยางต่อให้ไม่กลัวเสียเวลาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ นางก็กลัวจะปิดบังสีหน้าหลังแอบมีอะไรกันไม่มิด
เฉินจิ้งจงช้อนตาขึ้นมอง พอเห็นใบหน้าขาวสล้างของอีกฝ่ายแดงระเรื่อทั้งๆ ที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรแบบนั้น เขาก็ได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจ นั่งนิ่งอยู่บนที่นั่งของตนเองแต่โดยดี
เฉินจิ้งจงผู้นี้ยังพอว่านอนสอนง่ายอยู่ ใจของหวาหยางค่อยๆ กลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติอีกครั้ง ใบหน้าไม่ได้ร้อนผ่าวเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
นางโยนพัดไปให้เฉินจิ้งจง ให้เขาช่วยพัดให้นางแทน ตอนเดินทางกลับเมืองหลวง ขอเพียงเฉินจิ้งจงอยู่ในรถม้า หน้าที่นี้ล้วนเป็นของเขา
เฉินจิ้งจงนั่งเบี่ยงกาย ลงมือพัดให้นางพลางถามออกมาส่งๆ “องค์หญิงฐานะสูงส่งเช่นนี้ เหตุใดชื่อเล่นถึงได้ธรรมดาเช่นนั้น”
เพลิงโทสะของหวาหยางคุโชนขึ้นอีกรอบ นางถลึงตาใส่เขา “ธรรมดาตรงที่ใด”
“ก็ฟังดูเหมือนของใช้ในครัว จะไม่ธรรมดาอีกหรือ”
หวาหยางยังคงคาดคั้น “เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันเป็นคำว่าจานที่มาจากประโยค ‘ยามเล็กมิรู้จันทร์ จึงขานจานหยกขาว’ คำว่าจานนี้หมายถึงพระจันทร์ มันธรรมดาตรงที่ใด”
“ในเมื่ออยากเปรียบองค์หญิงเป็นเหมือนพระจันทร์ เช่นนั้นเรียกเยวี่ยเยวี่ย* ก็ได้แล้ว ไม่เห็นจะต้องใช้คำว่าผานที่หมายถึงจาน”
หวาหยาง “…”
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็หันหน้าไป ไม่อยากอธิบายความงามในวรรณศิลป์กับคนหยาบเช่นเขาอีก
เฉินจิ้งจงขยับปากพูดคำสองคำนั้นอยู่เงียบๆ ถึงจะไม่ออกเสียง แต่ก็ทำเอาเขาขนลุกตั้งชัน ชื่อเล่นตุ้งติ้งชวนกระอักกระอ่วนเช่นนั้น ไม่รู้ว่าบุรุษอย่างจิ่งซุ่นฮ่องเต้พูดออกจากปากได้อย่างไร
“มิสู้ข้าตั้งชื่อเพราะๆ ให้องค์หญิงสักชื่อ” เฉินจิ้งจงพูดเองเออเอง
“หุบปาก”
เฉินจิ้งจงยกยิ้ม ไม่แหย่นางอีก