หลังฟังพวกนางสนทนากันไปสักพักเจี่ยนเหยียนถึงได้รู้ว่าที่แท้ในปีนั้นจี้ซื่อก็แต่งให้กับนายท่านห้าสกุลสวี แต่นายท่านห้าสกุลสวีผู้นี้จากไปเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงบุตรชายบุตรสาวฝาแฝดคู่หนึ่งที่ปีนี้อายุครบสิบปีพอดี
ขณะที่เจี่ยนเหยียนกำลังตั้งใจฟังก็เห็นม่านประตูเลิกขึ้น ภายในห้องสว่างขึ้นมาพร้อมได้ยินเสียงสาวใช้เอ่ย “ฮูหยิน คุณหนูกับคุณชายมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เจี่ยนเหยียนหันมองไปทางประตู นางเห็นเด็กหญิงกับเด็กชายเดินตามกันเข้ามาโดยมีสาวใช้กับบ่าวหญิงอาวุโสจำนวนหนึ่งตามหลังมาประหนึ่งดาวล้อมเดือน
คาดว่าเด็กทั้งสองคนนี้ก็คือบุตรชายกับบุตรสาวของจี้ซื่อ สวีเมี่ยวหนิงกับสวีจ้งอันนั่นเอง
สวีเมี่ยวหนิงหน้าตาน่ารักอ่อนหวาน หลังเข้ามาก็ใช้ดวงตากลมโตมองสำรวจเจี่ยนฮูหยิน เจี่ยนชิง กับเจี่ยนเหยียนไม่หยุด ไม่มีท่าทีขลาดกลัวสักนิดเดียว ขณะที่สวีจ้งอันดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก หลังเดินเข้ามาสายตาก็ไม่ว่อกแว่กไปที่ใด เคร่งครัดตามขนบธรรมเนียม
จี้ซื่อกวักมือเรียกให้สวีเมี่ยวหนิงกับสวีจ้งอันเดินมาตรงหน้า ก่อนชี้ไปทางเจี่ยนฮูหยินแล้วบอกให้พวกเขาเรียกนางว่า ‘ท่านป้า’
สวีเมี่ยวหนิงจึงย่อกายลงพร้อมเอ่ยเรียกเสียงใสว่า “ท่านป้า”
ส่วนสวีจ้งอันก็ประสานมือ เอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “ท่านป้า”
เจี่ยนฮูหยินรีบบอกให้เสิ่นมามาคนสนิทของตนเองนำของขวัญแรกพบหน้าออกมามอบให้สวีเมี่ยวหนิงกับสวีจ้งอัน ขณะเดียวกันก็เอ่ยอย่างใจดี “เด็กดี ป้าอยู่ไกล ตอนที่พวกเจ้าเกิดมาป้าไม่สามารถมาดูพวกเจ้าได้ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของป้า รีบรับไปเถอะ”
สวีจ้งอันกับสวีเมี่ยวหนิงเอ่ยขอบคุณเจี่ยนฮูหยินพร้อมยื่นมือออกไปรับมา
จากนั้นจี้ซื่อก็ยิ้มเอ่ยกับพวกเขาว่า “ยังไม่รีบไปทักทายพี่ชายพี่สาวพวกเจ้าอีกหรือ”
เจี่ยนชิงกับเจี่ยนเหยียนเองก็แยกกันมอบของขวัญแรกพบหน้าให้เช่นกัน สวีจ้งอันและสวีเมี่ยวหนิงต่างได้ถุงพกที่ใส่ทองแท่งเอาไว้สองแท่ง
สกุลสวีแห่งนี้พูดไปก็นับเป็นตระกูลบัณฑิต ทุกวันนี้ยังมีรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมพิธีการอยู่ด้วยผู้หนึ่ง นับได้ว่าเป็นตระกูลชั้นสูง แต่คนที่เจี่ยนฮูหยินแต่งงานด้วยกลับเป็นแค่พ่อค้าผู้หนึ่งเท่านั้น ตอนนี้สามีนางตายไปแล้ว นางพาบุตรชายบุตรสาวมาพึ่งพาอาศัยน้องสาวตนเอง ฝากตัวพักอยู่ที่จวนสกุลสวี ในแต่ละวันอาจต้องดูแลจัดการบ่าวรับใช้บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อไม่ให้คนสกุลสวีพูดกันว่าครอบครัวนางตระหนี่ จนพากันมาดูถูกพวกนาง ดังนั้นตอนออกเดินทางมาจากบ้านเจี่ยนฮูหยินจึงมอบถุงใส่ทองแท่งกับถุงใส่เศษเงินอย่างละหนึ่งใบให้เจี่ยนชิงกับเจี่ยนเหยียนโดยเฉพาะ ทั้งยังกำชับพวกเขาว่าถ้าต้องควักเงินก็ต้องควัก อย่าให้ผู้อื่นดูถูกพวกเขาได้เป็นอันขาด
ในตอนนั้นเจี่ยนเหยียนรับมาทันทีอย่างมีความสุข
นางเป็นคนที่ข้ามมิติมาที่นี่ เมื่อภพชาติก่อนเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ พอลืมตาขึ้นอีกทีก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองกลายไปเป็นเด็กทารกคนหนึ่งแทน ซ้ำยังเป็นเด็กทารกที่มีคนนอนตายอยู่ด้านข้างด้วย
ตอนนั้นนางหลงคิดว่าตนเองจะต้องตายเหมือนกันแน่ๆ ทว่าคิดไม่ถึงว่าชีวิตจะยังไม่ถึงคราวตาย แม่ชีท่านหนึ่งผ่านมาช่วยชีวิตนางเอาไว้
แต่ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงกลียุค แม่ชีผู้นั้นยังแทบเอาชีวิตตนเองไม่รอด นับประสาอะไรกับเด็กทารกผู้หนึ่ง ดังนั้นเมื่ออับจนหนทางแล้ว แม่ชีผู้นั้นจึงอุ้มนางไปมอบให้เจี่ยนฮูหยินเลี้ยงดู
ยามนั้นเจี่ยนฮูหยินเพิ่งคลอดบุตรสาวคนหนึ่ง แต่คลอดมาได้ไม่กี่วันก็ตายจากไป รวมกับที่บุตรชายคนโตของตนเองมักเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ แม่ชีผู้นั้นจึงอาศัยเรื่องนี้บอกให้เจี่ยนฮูหยินรับเด็กหญิงคนหนึ่งมาเลี้ยงดูเพื่อป้องกันเคราะห์ร้ายให้บุตรชายคนโต และอย่าได้ให้คนอื่นรู้ว่าเด็กหญิงผู้นี้เป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะป้องกันเคราะห์ให้ไม่ได้
เจี่ยนฮูหยินหลงเชื่อจึงรับเลี้ยงเจี่ยนเหยียนไว้ โดยที่บอกกับคนนอกว่าเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง ภายหลังเจี่ยนเหยียนโตขึ้น นางเห็นว่าเจี่ยนเหยียนมีรูปโฉมงดงาม จึงเชิญอาจารย์มากมายมาสอนศาสตร์ด้านพิณ หมากล้อม คัดอักษร และวาดภาพให้นาง รวมไปถึงการร่ายกวีขับร้องเพลง แต่ก็ไม่ได้เกิดจากความปรารถนาดีอันใด เพียงแค่คิดจะเลี้ยงเจี่ยนเหยียนให้เป็นดั่งม้าผอมแห่งหยางโจวคิดว่ารอนางโตขึ้นเมื่อไรก็จะยกให้เป็นอนุของขุนนางสูงศักดิ์สักคนหนึ่ง จะได้ช่วยสนับสนุนสกุลเจี่ยนของพวกนางได้