ที่แท้เรือนแยกทิศตะวันออกแห่งนี้ก็ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเรือนเหอเซียง เป็นเรือนเล็กสามห้องหลักสองห้องรอง เชื่อมติดกับระเบียงทางเดินออกไปข้างนอก ตรงกลางมีประตูเรือนสองบานพับอยู่ ปกติแล้วหากเปิดประตูเรือนสองบานพับไว้ เรือนแยกทิศตะวันออกแห่งนี้ก็จะเชื่อมกับเรือนหลักของเรือนเหอเซียง หากปิดเอาไว้ก็จะเป็นเสมือนเรือนเล็กแยกสันโดษออกมาอย่างไรอย่างนั้น และหากต้องการออกไปข้างนอก หลังเดินผ่านประตูเรือนสองบานพับออกมา แค่เดินคดเคี้ยวทะลุประตูใหญ่ด้านหน้าห้องโถงต่อก็ออกไปได้แล้ว เส้นทางสะดวกอย่างยิ่ง
สาวใช้พาเจี่ยนเหยียนเดินเข้าไปในห้องหลัก ได้เห็นที่บนผนังเบื้องหน้าเป็นหน้าต่างบานใหญ่กรอบบุปผาลายน้ำแข็งร้าว ทาปิดทับด้วยกระดาษสีขาวหิมะ ข้างบานหน้าต่างเป็นโต๊ะยาว ด้านบนวางฉากกั้นเล็กๆ ลายบุปผาสี่ฤดูเอาไว้ แจกันลายเมฆมงคลหลากสีสองใบตั้งเคียงกัน ด้านข้างโต๊ะยาววางโต๊ะสูงสองตัวที่มีกระถางดอกไม้ตามฤดูกาลวางอยู่ข้างบน ถัดจากโต๊ะยาวก็เป็นโต๊ะแปดเซียนสีดำขลับตัวหนึ่ง ด้านข้างโต๊ะแปดเซียนมีเก้าอี้เหมยกุยสองตัว ด้านบนวางเบาะเก้าอี้สาดหมึกเอาไว้
สาวใช้ชี้ไปทางห้องรองฝั่งตะวันออกพร้อมเอ่ย “คุณหนูญาติผู้พี่ ทางนั้นคือห้องนอนของท่านเจ้าค่ะ”
เจี่ยนเหยียนมองตามไป เห็นว่าเป็นห้องที่ใช้ประตูกั้นห้องแปดบานพับกั้นแยกออกมา เมื่อมองผ่านม่านประตูไปพอจะเห็นเลือนรางว่าข้างในวางเตียงไว้หลังหนึ่ง ด้านข้างหน้าต่างวงเดือนวางโต๊ะเครื่องแป้งรวมถึงสิ่งของอย่างอื่นที่ห้องของสตรีในห้องหอควรมีเอาไว้ นางไม่ได้เดินเข้าไปดูในทันที เพียงหันกลับมาผงกศีรษะเอ่ยขอบคุณสาวใช้ ทั้งยังฝากให้อีกฝ่ายบอกต่อไปยังท่านน้าด้วยว่า “ลำบากท่านน้าแล้วที่เก็บกวาดเรือนเงียบสงบเช่นนี้ออกมาให้ข้า รอประเดี๋ยวข้าจะไปขอบคุณด้วยตนเองอีกครั้ง”
สาวใช้รับคำแล้วถอยออกไป
หลังจากนั้นเจี่ยนเหยียนก็สั่งให้ไป๋เวยกับซื่อเยวี่ยสาวใช้สองคนของตนช่วยกันเปิดหีบที่นำมาจากหลงโจวออก เริ่มเก็บข้าวของแต่ละอย่างให้เข้าที่
ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกดังขึ้นมาว่า “คุณหนู คุณหนูญาติผู้น้องมาหาเจ้าค่ะ”
สวีเมี่ยวหนิงเดินนำสาวใช้ชิงหยาตรงเข้ามาในเรือนแยกทิศตะวันออก จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นมาตรงหน้าเจี่ยนเหยียนอย่างสนิทสนม ก่อนเงยหน้าขึ้นมองนางพร้อมเอ่ยเสียงหวาน “พี่สาว”
เจี่ยนเหยียนเผยยิ้มตอบ ก้มหน้ามองนางพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ว่าอย่างไรน้องสาว”
สวีเมี่ยวหนิงมีสีหน้าซุกซน รอยยิ้มประหนึ่งบุปผา ชุดสีแดงดอกไห่ถังปักลายกิ่งดอกอวี้หลันยิ่งขับให้นางดูน่ารักมากขึ้น สายตาของนางมองสำรวจไปมาบนร่างเจี่ยนเหยียนรอบหนึ่ง ก่อนบนใบหน้าจะเผยรอยยิ้มหวานขึ้นมา คว้าแขนเจี่ยนเหยียนมากอดไว้เอ่ย “พี่สาว ท่านรูปโฉมงดงามจริงเชียว!”
เจี่ยนเหยียนรู้สึกขบขันอยู่ในใจ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้ลดลง ทั้งยังยื่นมือไปตบหลังมือสวีเมี่ยวหนิงเบาๆ พลางยิ้มเอ่ยตอบรับนางตามมารยาทต่อไป “น้องสาวเองก็หน้าตาน่ามองมากเช่นกัน” จากนั้นสายตาก็มองเลยไปยังถุงพกลายแมวหยอกผีเสื้อที่สวีเมี่ยวหนิงยังกำแน่นไว้ในมือใบนั้น พู่ห้อยสีแดงด้านบนแกว่งไกวไปมาไม่หยุดตามการเคลื่อนไหวของนาง รอยยิ้มของเจี่ยนเหยียนจึงยิ่งกดลึกมากกว่าเดิม
น้องสาวผู้นี้ของนางดูเหมือนจะชอบถุงพกใบนี้มาก ดังนั้นที่มาตีสนิทกับนางจะต้องมีบางอย่างที่อยากจะพูดหรือเรื่องที่อยากจะขอร้องนางอย่างแน่นอน
ไม่ผิดจากที่คาด ชั่วขณะต่อมาเจี่ยนเหยียนก็เห็นสวีเมี่ยวหนิงยกถุงพกในมือขึ้นพร้อมถามว่า “พี่สาว ท่านเป็นคนเย็บถุงพกใบนี้เองหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว” เจี่ยนเหยียนรู้แจ้งแก่ใจในทันใด ดังนั้นจึงยิ้มผงกศีรษะ “ข้าเป็นคนเย็บเอง มีอันใดหรือ น้องสาวชอบถุงพกใบนี้มากหรือ”
สวีเมี่ยวหนิงรีบผงกศีรษะทันที “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าชอบมาก ชอบมากๆ ไม่ทราบว่าพี่สาวยังมีลายอื่นที่น่าสนใจกว่านี้หรือไม่”
“ไป๋เวย” เจี่ยนเหยียนกลั้นยิ้ม หันหน้ากลับไปสั่งไป๋เวยที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ข้าจำได้ว่าถุงพกที่ข้าปักตอนอยู่บ้านล้วนเก็บไว้ในกล่องสีดำวาดลายเป่าขลุ่ยเรียกหงส์ เจ้าไปหาถุงพกที่ปักลายแมวกวักออกมาให้ญาติผู้น้องเถอะ”
ไป๋เวยขานรับ นางหันตัวกลับไปค้นหาของจากในหีบสักพักก็หยิบกล่องสีดำขลับวาดลายใบนั้นออกมา จากนั้นเปิดค้นอยู่ครู่หนึ่งจึงประคองสองมือยื่นถุงพกใบนั้นไปให้
สวีเมี่ยวหนิงรีบยื่นมือออกมารับไว้ทันที