เมื่อได้ยินคำว่า ‘จิ้นเฟิ่งเทีย’ หางตาเจี่ยนเหยียนก็กระตุกเล็กน้อย ด้วยความที่หลายปีมานี้นางคัดแบบตัวอักษรนี้อยู่บ่อยๆ พอได้ยินสามพยางค์นี้จึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก
สวีเมี่ยวหนิงกลับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ น้ำเสียงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ “ข้า…ข้าคัดไปแค่แผ่นเดียวเจ้าค่ะ”
“ห้าสิบแผ่น วันหยุดครั้งหน้าเอามาส่งให้ข้าด้วย”
เสียงของสวีจ้งเซวียนไม่ได้ดังมาก ทว่าราบเรียบและหนักแน่น ให้ความรู้สึกว่าไม่ยอมให้โต้แย้งโดยสิ้นเชิง
ขุนนางในยุคสมัยนี้ได้หยุดพักทุกห้าวัน ห้าวันห้าสิบแผ่น ถ้าอย่างนั้นก็วันละสิบแผ่น เจี่ยนเหยียนแอบจุดเทียนไว้อาลัยสวีเมี่ยวหนิงในใจเงียบๆ
เจี่ยนเหยียนคิดว่ายามนี้นางเข้าใจเหตุผลที่สวีเมี่ยวหนิงกลัวสวีจ้งเซวียนมากเพียงนี้แล้ว หากนางมีพี่ชายเช่นนี้ก็คงไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเช่นเดียวกัน
ทว่าเมื่อได้เห็นสีหน้าประดุจญาติเสียของสวีเมี่ยวหนิง นางก็รู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง ดังนั้นจึงยื่นมือออกไปตบหลังมือสวีเมี่ยวหนิงเบาๆ ก่อนหันร่างกลับมา บนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ทั้งสุภาพและเหมาะสม
“ข้ากับญาติผู้น้องยังมีธุระอื่นอีก ไม่ขอรบกวนคุณชายใหญ่กับคุณหนูอู๋แล้ว” เอ่ยจบนางก็ผงกศีรษะให้ทั้งสองคนแทนการคารวะ จากนั้นก็หันตัวกลับพาสวีเมี่ยวหนิงเดินจากไป
จนกระทั่งเดินออกมาไกลมากเจี่ยนเหยียนจึงสัมผัสได้ว่าสวีเมี่ยวหนิงคลายมือที่จับแขนนางไว้เสียแน่นออก ก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยเสียงเบาออกมาอย่างหมดแรง “พี่สาว”
เจี่ยนเหยียนจึงยิ้มถาม “ว่าอย่างไร มีอะไรหรือ”
สวีเมี่ยวหนิงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนเหยียนอย่างจริงใจ ชั่วขณะนี้นางรู้สึกว่าดวงตาที่แฝงรอยยิ้มของคนตรงหน้าราวกับแอ่งน้ำแร่ ดูชุ่มฉ่ำหาใดเปรียบ
“พี่สาว เมื่อครู่นี้ท่านร้ายกาจเกินไปแล้วจริงๆ ไม่นึกว่าจะไม่กลัวพี่ใหญ่ข้าสักนิดเดียว ท่านไม่รู้หรอกว่าเมื่อครู่ตอนเจอหน้าพี่ใหญ่ ขาข้าสั่นอยู่ด้วยซ้ำ หากไม่มีท่านคอยอยู่ข้างๆ ข้าจะต้องตกใจจนทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างแน่นอน!”
เจี่ยนเหยียนเห็นสีหน้าของสวีเมี่ยวหนิงที่กำลังชื่นชมตนเอง รอยยิ้มในดวงตานางก็ยิ่งลึกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ สวีจ้งเซวียนไม่ใช่พี่ใหญ่นาง ทั้งไม่มีทางบังคับนางคัดอักษร นางมีเรื่องใดให้กลัวกัน ทว่านางอยากจะหยอกล้อสวีเมี่ยวหนิง จึงเอ่ยถามออกไป “เจ้ากลัวพี่ใหญ่เจ้าเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน พี่ใหญ่เจ้าดุมากหรือ”
สวีเมี่ยวหนิงเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าตอบ “ความจริงเขาก็ไม่ได้ดุ อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยเห็นเขาโมโหใส่พวกเรามาก่อน แต่ต่อให้เขาไม่พูด แค่ยืนมองข้าเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ข้าก็รู้สึกกลัวแล้ว”
เจี่ยนเหยียนรู้ว่านี่คือกลิ่นอายกดดันที่คนเป็นผู้นำสั่งสมมาหลายปี ต่อให้เขาไม่พูดอะไร แค่ยืนอยู่เฉยๆ คนทั่วไปก็จะรู้สึกกดดันและหวั่นเกรงต่อเขาแล้ว
“อีกอย่างพี่สาว ท่านรู้หรือไม่ พี่ใหญ่ข้าเรียกได้ว่าไม่ใช่คน ข้าได้ยินท่านแม่ข้าบอกว่าพี่ใหญ่รู้หนังสือตั้งแต่อายุสามขวบ อายุเจ็ดขวบก็เข้าใจคัมภีร์ทั้งหกตอนอายุสิบสองสอบเซียงซื่อผ่านเป็นเจี้ยหยวน อายุสิบแปดสอบฮุ่ยซื่อผ่านเป็นฮุ่ยหยวน ในการสอบเตี้ยนซื่อภายหลังยังเป็นจ้วงหยวนที่ฮ่องเต้ทรงยอมรับ ร้ายกาจยิ่ง!”