บทที่ 3
วันเวลาผ่านไปเร็วดั่งลูกธนูหลุดจากแล่ง เพิ่งจะพ้นช่วงหนาวเหน็บของเดือนสองไป ตอนนี้จวนเข้าสู่เดือนสามอันอบอุ่นแล้ว
เจี่ยนเหยียนกำลังนั่งอ่านตำราเล่มหนึ่งอยู่ภายในศาลาของป่าเหมย
นางไม่ค่อยชอบนั่งอึดอัดอยู่ในห้องทั้งวัน ดังนั้นเวลาว่างก็จะออกไปเดินเล่นตามสถานที่ต่างๆ ของสวนดอกไม้ และพอออกมาเดินเล่นนางจึงได้รับรู้ถึงข้อดีของป่าเหมยแห่งนี้เข้า
ป่าเหมยผืนนี้ไม่ได้ใหญ่นัก มีแค่ต้นเหมยหลายสิบต้น ด้านในมีศาลาหกเหลี่ยมเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง ข้างในศาลามีโต๊ะหินกับเก้าอี้หินอยู่ครบครัน ตรงราวกั้นสองฝั่งเป็นเก้าอี้เหม่ยเหรินจะนั่งหรือนอนก็ได้ทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้นางเคยสำรวจป่าเหมยแห่งนี้ไปรอบหนึ่ง รู้ว่าที่ด้านหลังมีกำแพงสีขาว บนกำแพงมีประตูวงเดือนอยู่ ทั้งยังมีหน้าต่างอยู่ด้านข้างอีกสองสามบาน นางเองก็เคยเดินทะลุประตูวงเดือนไปดูข้างหลังมาแล้ว เห็นว่ามีต้นอู๋ถงขนาดสองคนโอบจำนวนหนึ่งตั้งตระหง่านบดบังแสงตะวัน ทว่าไม่เห็นเงาของผู้ใด นางถึงได้สบายใจ ปกติเวลาว่างๆ ก็จะเอาตำรามาอ่าน หรือไม่ก็นั่งเหม่ออยู่ในป่าเหมยผืนนี้เสียเลย
จวนจะเข้าสู่เดือนสาม สภาพอากาศอบอุ่นขึ้นมาแล้ว ต้นเหมยบริเวณรอบๆ สองฝั่งซ้ายขวาของศาลาเริ่มมีลูกเหมยเล็กๆ อยู่บนต้น ลูกกลมมนแต่ละลูกซ่อนตัวอยู่ระหว่างใบไม้เขียวดกหนา บางคราก็จะมีนกบินมาเกาะบนกิ่งไม้ คอยส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ไม่หยุด
เจี่ยนเหยียนรู้สึกมีความสุข ตอนนี้จึงนั่งอ่านหนังสือพลางครวญเพลงเบาๆ ไปด้วย
ทำนองเพลงที่ครวญก็เข้ากับทัศนียภาพอย่างยิ่ง เป็นเพลง…บุปผาบานยามวสันต์
หลังจบเพลงบุปผาบานยามวสันต์ นางก็ครวญเพลงคล้ายๆ กันต่อพร้อมพลิกตำราในมือไปอีกหน้า
ระหว่างที่ครวญเพลงอยู่นางก็ได้ยินเสียงเมี้ยวเบาๆ ดังแว่วมา ฟังดูคล้ายเป็นเสียงร้องของลูกแมวตัวหนึ่ง
นางจึงปิดตำรา เดินหาไปตามเสียง ในที่สุดก็เจอลูกแมวที่ใต้ต้นเหมยต้นหนึ่ง
ลูกแมวยังตัวเล็กมาก ตัวสีส้มอมน้ำตาล มีแค่ตรงปลายจมูกที่เป็นสีขาวเล็กๆ เจี่ยนเหยียนนั่งยองๆ ก่อนประคองมันไว้บนฝ่ามือซ้ายอย่างระมัดระวัง ทั้งยังงอนิ้วชี้ข้างขวายื่นไปเขี่ยคางมันอย่างนิ่มนวลพลางถามมันเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าตัวน่าสงสาร มาอยู่ที่นี่ตามลำพังได้อย่างไรฮึ แม่เจ้าเล่า”
ลูกแมวน้อยนอนอยู่ในฝ่ามือนาง ดวงตากลมโตมองมาที่นางพร้อมส่งเสียงร้องเมี้ยวๆ ทั้งยังแลบลิ้นออกมาเลียมือนางอีกด้วย
ปลายลิ้นของมันสากเล็กน้อย เวลาเลียลงบนมือเจี่ยนเหยียนให้รู้สึกจั๊กจี้ นางถูกมันเลียจนหลุดหัวเราะออกมา จึงเกาปลายคางมันแรงขึ้นกว่าเดิมและลูบศีรษะมัน หนึ่งคนหนึ่งแมวเล่นกันอย่างมีความสุข ทว่าไม่ทันระวังว่าจะมีคนยืนแอบมองแอบฟังอยู่
หากมีใครมองผ่านบานหน้าต่างสี่เหลี่ยมทรงดอกไห่ถังบนกำแพงออกไป ก็จะเห็นว่าที่ตรงนั้นมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นมานานเท่าใดแล้ว
ยามนี้เจี่ยนเหยียนหยิบขนมพุทราแดงชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงพกที่พกติดตัว กำลังบี้มันให้ละเอียด แล้วป้อนให้ลูกแมวน้อยตัวนั้นกิน
ขณะที่ป้อนนางยังเอ่ยว่า “นี่เป็นขนมพุทราแดงชิ้นสุดท้ายของข้าแล้วนะ หลังให้เจ้ากินเย็นนี้ข้าก็ต้องทนหิวแล้ว เจ้าตัวน่าสงสาร ข้าดีต่อเจ้าหรือไม่ ไหนลองว่ามา”
แต่ลูกแมวสนใจแต่เลียเศษขนมพุทราแดงในมือนาง ไม่สนใจจะตอบคำถามนางโดยสิ้นเชิง
เจี่ยนเหยียนลูบศีรษะมันเบาๆ ลูบไปสักพักก็เอ่ยต่อว่า “จะเรียกเจ้าว่า ‘เจ้าตัวน่าสงสาร’ ไปตลอดก็ไม่ได้ เรียกเสียเหมือนกับว่าเจ้าน่าสงสารมากอย่างไรอย่างนั้น มิสู้ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีหรือไม่” นางครุ่นคิดอย่างตั้งใจสักพักหนึ่ง เมื่อหลุบตาเห็นมันยืนอยู่บนฝ่ามือตนเอง ตัวขดเป็นก้อนปุกปุย คิดๆ แล้วนางจึงยิ้มเอ่ย “นึกออกแล้ว! เรียกว่าเสี่ยวเหมาถวน เป็นอย่างไร เพราะตัวเจ้าเหมือนกับก้อนไหมพรม”
จากนั้นก็ลูบศีรษะมัน ถามต่อว่า “เสี่ยวเหมาถวน เจ้ามาจากที่ใดกัน ให้ข้าพาเจ้ากลับไปเลี้ยงดีหรือไม่”
เสี่ยวเหมาถวนไม่ได้สนใจนาง ยังคงก้มหน้าตั้งใจเลียเศษขนมพุทราแดงต่อไป