ตอนที่ฉีซังตามมาพบจึงได้เห็นคุณชายของตนเองกำลังประคองบางสิ่งไว้บนฝ่ามือ ครั้นตั้งใจมองจนเห็นชัดว่าเป็นลูกแมวตัวหนึ่งก็อดตกตะลึงไม่ได้ คุณชายไม่ชอบสิ่งที่มีขนปุกปุยที่สุดแล้ว กระทั่งชุดฤดูหนาวยังไม่ยอมใส่เสื้อที่ปกเสื้อกับแขนเสื้อประดับขน เหตุใดตอนนี้กลับประคองลูกแมวขนปุยตัวหนึ่งไว้ในมือได้เล่า แต่เขาก็ไม่กล้าเผยความรู้สึกออกมาทางสีหน้า เพียงแค่วางมือแนบลำตัวและเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อมเท่านั้น “คุณชาย”
สวีจ้งเซวียนเหลือบมองฉีซังก่อนยื่นลูกแมวไปให้พร้อมสั่ง “หากรงที่กว้างขวางสบายๆ ใส่แมวตัวนี้ แล้วเอามันกลับไปเลี้ยงดูที่เมืองหลวงดีๆ”
แม้ระยะห่างระหว่างทงโจวกับเมืองหลวงจะไม่ไกล ขี่ม้าก็ใช้เวลาแค่ราวครึ่งชั่วยาม แต่ทุกวันสวีจ้งเซวียนจะต้องไปทำงานที่กรมพิธีการ ทุกวันที่สาม หก และเก้ายังต้องร่วมประชุมที่ท้องพระโรง ดังนั้นจึงซื้อเรือนสองทางเข้าออกแห่งหนึ่งไว้ที่เมืองหลวง ปกติพักอาศัยอยู่ที่นั่น ถึงวันหยุดเมื่อใดจึงจะกลับมาทงโจว
ฉีซังยื่นมือไปรับลูกแมวมา วูบแรกรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กในมือตัวนี้ทั้งตัวเล็กและนุ่มนิ่มจริงๆ เขากลัวว่าหากออกแรงมากไปเล็กน้อยโดยไม่ทันระวัง ก็อาจเผลอบีบสิ่งมีชีวิตที่เล็กปานนี้ตายได้
“คุณ…คุณชายขอรับ” เขาปกป้องลูกแมวในมืออย่างระมัดระวัง ป้องกันไม่ให้ตนเองพลั้งมือทำร้ายมันก่อนถามออกมา “จะตั้งชื่อให้ลูกแมวตัวนี้หรือไม่ขอรับ” ทว่าทันทีที่ถามออกไปเขาก็อยากตบหน้าตนเองสักฉาดหนึ่งทันที
มีแต่พวกหญิงสาวในห้องหอเท่านั้นที่เวลาเลี้ยงแมวเลี้ยงสุนัขแล้วจะตั้งชื่อให้พวกมัน คุณชายของเขาเป็นบุรุษ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ก็นึกอยากจะเลี้ยงแมวขึ้นมา ซ้ำยังเป็นลูกแมวที่ธรรมดาสุดๆ ตัวหนึ่งด้วย แต่จะละเอียดอ่อนถึงขั้นตั้งชื่อให้มันได้อย่างไร
เขาเตรียมจะเปิดปากขอรับโทษจากสวีจ้งเซวียน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนของคุณชายตนเองดังขึ้นเบาๆ…
“เรียกเสี่ยวเหมาถวนก็แล้วกัน”
ฉีซังรู้สึกว่ากระดูกกรามตนเองเกือบจะหล่นลงพื้นด้วยความตกใจอยู่แล้ว
เสี่ยวเหมาถวน? นี่มันชื่ออะไรกัน! ในฐานะจ้วงหยวนผู้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าตั้งแต่อายุสิบแปดปี จะตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยงตนเองทั้งที ไม่ควรตั้งให้ยิ่งใหญ่กว่านี้หน่อยหรือ เสี่ยวเหมาถวนนับเป็นอะไรได้เล่า!
หลังเจี่ยนเหยียนเดินออกมาจากป่าเหมยก็มุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร ข้างหลังมีไป๋เวยเดินตามหลังมาติดๆ
ช่วงนี้ต้นท้อริมสระน้ำออกดอกสีแดงระเรื่อ ต้นหลิวเขียวขจี เป็นทัศนียภาพที่งดงามอย่างมาก
หลังเดินไปได้ไม่นานเจี่ยนเหยียนก็เห็นเด็กหญิงผู้หนึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินใต้ต้นหลิวริมฝั่งเข้ากะทันหัน ด้านข้างมีสาวใช้เกล้าผมสองมวยยืนอยู่ด้วย
เจี่ยนเหยียนแอบมองสังเกตนางจากปลายหางตา เห็นว่าเด็กหญิงมีรูปร่างแบบบาง สีหน้าดูขาวผิดปกติ ปลายคางแหลม ทว่าดวงตาใสกระจ่าง กำลังมองตรงมาที่นาง
เจี่ยนเหยียนสังเกตเห็นว่าในวันที่อากาศอบอุ่นเช่นนี้ เด็กหญิงผู้นี้กลับยังสวมเสื้อสำหรับฤดูหนาว แม้จะนั่งอยู่บนก้อนหินแต่ก็ปูเบาะรองหนาๆ เอาไว้ชั้นหนึ่งด้วย นางจึงรู้ในทันทีว่าเด็กหญิงผู้นี้เป็นใคร
นางมาอยู่ที่จวนสกุลสวีได้ประมาณหนึ่งเดือน ทุกคนภายในจวนแห่งนี้นางแทบจะเคยพบหน้ามาหมดแล้ว มีเพียงคุณหนูสี่สวีเมี่ยวจิ่นที่นางยังไม่เคยพบมาก่อน ดังนั้นคุณหนูตรงหน้าผู้นี้ก็คงจะเป็นสวีเมี่ยวจิ่นแน่แล้ว
นางกำลังครุ่นคิดว่าจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านไปเลยหรือว่าจะหยุดลงทักทายคุณหนูสี่สวีเมี่ยวจิ่นผู้นี้ดี ก็ได้ยินสวีเมี่ยวจิ่นเอ่ยขึ้นมากะทันหัน
“ท่านคือญาติผู้พี่ของพี่หญิงสามข้าหรือเจ้าคะ”
ประโยคนี้ถามได้น่าสนใจไม่น้อย เจี่ยนเหยียนคิดในใจขณะหยุดฝีเท้าลง นางหันกลับมาเผชิญหน้ากับสวีเมี่ยวจิ่น บนใบหน้าประดับรอยยิ้มพลางผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ข้าคือญาติผู้พี่ของหนิงเอ๋อร์”
“ถุงพกแมวกวักใบนั้นของพี่หญิงสามข้า ท่านเป็นคนเย็บหรือเจ้าคะ” เสียงของสวีเมี่ยวจิ่นแผ่วเบา เบาเช่นคนที่เพิ่งผ่านอาการป่วยหนักมาแล้วไม่มีเรี่ยวแรงเท่าไร
“ใช่แล้ว” เจี่ยนเหยียนผงกศีรษะพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเย็บเอง”
สวีเมี่ยวจิ่นเงยหน้ามองนาง ริมฝีปากเม้มแน่นไม่พูดอะไรทั้งสิ้น แต่ความคาดหวังในดวงตานางไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนดูออก