บทที่ 4
ในตอนนั้นสวีเมี่ยวหวากลับแค่นเสียงเย็นเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่คิดจะไปด้วยหรอกนะ” เอ่ยจบก็พาสาวใช้ของตนเองหันหลังกลับเดินจากไปทันที
หลายวันมานี้เจี่ยนเหยียนก็เคยได้ยินข่าวนินทาบางอย่างมาบ้าง รู้ว่าอู๋ซื่อเคยคิดจะมอบสิทธิ์ในการดูแลจวนให้ลูกสะใภ้ตนเอง ซึ่งตามลำดับควรจะมอบให้ฉินซื่อแห่งบ้านใหญ่ เนื่องจากสามีของนางเป็นบุตรคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกและฉินซื่อก็เป็นภรรยาเอกของเขา เพียงแต่ยามนั้นนายท่านใหญ่ตายไปแล้ว หญิงม่ายอย่างนางจะมาดูแลจวนอะไรได้ มิหนำซ้ำในด้านความรู้สึกนายท่านรองสวีต่างหากถึงจะเป็นบุตรแท้ๆ ของอู๋ซื่อ นางย่อมสนิทกับบ้านรองมากกว่า ดังนั้นนางจึงคิดให้เฝิงซื่อแห่งบ้านรองมาดูแลจวน ทว่าฉินซื่อกลับไม่ยอม เฝิงซื่อเองก็ย่อมไม่ยอมแพ้ สุดท้ายทั้งสองคนแย่งชิงเรื่องนี้กันจนเกือบตบตีกันขึ้นมา อู๋ซื่อไร้หนทางจึงได้แต่ดูแลต่อเอง
และด้วยเหตุนี้ระหว่างฉินซื่อกับเฝิงซื่อจึงไม่ลงรอยกันอย่างหนัก ส่งผลให้สวีเมี่ยวหวามองบ้านใหญ่เป็นศัตรูขึ้นมาด้วยเช่นกัน
เมื่อถูกสวีเมี่ยวหวาหันหลังกลับเดินจากไปทันทีโดยไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ บนใบหน้าอู๋จิ้งเซวียนก็ปรากฏแววกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
และสวีเมี่ยวจิ่นก็ดูจะไม่คิดไว้หน้าอู๋จิ้งเซวียนเช่นกัน เพราะนางไม่สนใจอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง เพียงเงยหน้าถามเจี่ยนเหยียนคนเดียวว่า “พี่เหยียน ท่านไปนั่งที่เรือนหนิงชุ่ยของข้าสักพักดีหรือไม่” ระหว่างที่พูดยังแกว่งแขนเจี่ยนเหยียนไปมาเบาๆ มองดูเหมือนทั้งสองคนสนิทสนมกันมากทีเดียว
มาถึงขั้นนี้เจี่ยนเหยียนก็ได้แต่รับปากเท่านั้น นางผงกศีรษะเอ่ยตอบรับ “ได้สิ ข้าไม่เคยไปที่เรือนเจ้ามาก่อนพอดี”
สวีเมี่ยวจิ่นดีใจมาก จูงมือเจี่ยนเหยียนหันตัวกลับเดินจากไปทันที ชิงจู๋สาวใช้ของนางย่อมรีบไล่ตามไป ส่วนไป๋เวยก็ตามหลังไปอีกทีเช่นกัน
ขณะที่อู๋จิ้งเซวียนยังยืนอยู่ที่เดิม ชั่วขณะนั้นสีหน้ากระอักกระอ่วนก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ตั้งแต่ต้นจนจบสวีเมี่ยวจิ่นไม่ได้เอ่ยปากชวนนางไปที่เรือนหนิงชุ่ยเลยสักครั้ง
เสวี่ยหลิ่วสาวใช้ของนางเอ่ยถามขึ้นมา “คุณหนู ท่านจะไปที่เรือนของคุณหนูสี่หรือไม่เจ้าคะ”
อู๋จิ้งเซวียนนึกถึงว่าวันนี้เป็นวันหยุดของสวีจ้งเซวียน ถึงแม้เขาจะไม่ได้กลับมาทุกครั้งที่หยุด แต่เมื่อครู่มีสาวใช้มาบอกนางว่าเห็นคุณชายใหญ่อยู่ในห้องหนังสือ สวีจ้งเซวียนให้ความสำคัญกับน้องสาวอย่างสวีเมี่ยวจิ่นมากที่สุด ในเมื่อเขากลับมาแล้วก็จะต้องไปหาน้องสาวที่เรือนหนิงชุ่ยแน่นอน หากตนเองไปที่เรือนหนิงชุ่ย ไม่แน่อาจจะพบเขาก็ได้!
พอนึกถึงรูปโฉมหล่อเหลาของสวีจ้งเซวียน หัวใจของอู๋จิ้งเซวียนก็เต้นกระหน่ำเหมือนมีลูกกวางน้อยวิ่งชนไปทั่ว ส่งผลให้ใบหน้าร้อนผ่าวไปด้วย ดังนั้นนางจึงขยับเท้าเดินตามไปทันที
เรือนหนิงชุ่ยเป็นเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง หลังเดินขึ้นบันไดหินขาวสลักลายคทาหรูอี้ สามขั้น ตรงหน้าก็เป็นประตูสีดำขลับสองบาน บนบานประตูมีห่วงทองเหลืองทรงกลมเรียบง่ายอยู่สองห่วง
ชิงจู๋ก้าวขึ้นหน้าไปเคาะประตู จากนั้นก็มีสาวใช้เดินมาเปิดประตูให้ ทันทีที่เห็นว่าด้านนอกมีคุณหนูของตนเองกับคนมากมายเพียงนี้ยืนอยู่ ก็รีบย่อกายคารวะแล้วรวบมือถอยไปยืนด้านข้างทันที
สวีเมี่ยวจิ่นจูงมือเจี่ยนเหยียนเดินข้ามธรณีประตูนำเข้าไปข้างในเรือนก่อน
ลานเรือนไม่ได้ใหญ่มากนัก สองฝั่งเป็นระเบียงคดเคี้ยว ตรงกลางมีแปลงดอกไม้ หินกรวดหลากสีสันสลักเป็นลายดอกไม้ต่างๆ ข้างทางมีกอไผ่เขียวชอุ่มสองสามกอ แถวบานหน้าต่างเป็นต้นกล้วย ทั้งยังมีภูเขาจำลองเล็กๆ อีกด้วย
สวีเมี่ยวจิ่นจูงมือเจี่ยนเหยียนมายืนกลางลาน ก่อนชี้ชวนให้นางมองแผ่นอักษรคู่บนเสาทางเดินด้านหน้า ก่อนถามนางว่าตัวอักษรบนนั้นเขียนสวยหรือไม่
เจี่ยนเหยียนได้เห็นว่าบนกระดาษสีแดงเขียนบทกวีไว้สองประโยค
‘แสงจันทร์สะท้อนเงาไผ่ทาบกำแพง
ลมไหวมาสดับเสียงเหมันต์’