บทที่ 5
แน่นอนว่าหวาหยางไม่มีทางลืมช่วงเวลาตอนที่นางเพิ่งแต่งเข้าบ้านสกุลเฉินใหม่ๆ
เฉินจิ้งจงองอาจหล่อเหลา หวาหยางแต่งไปพร้อมวาดหวังว่าจะมีชีวิตสมรสที่งดงามรอคอยนางอยู่เบื้องหน้า ทว่าประสบการณ์ย่ำแย่ในคืนแต่งงานกลับทำให้นางนึกอยากกลับวังยกเลิกงานแต่ง
เจ็บถึงเพียงนั้น วันที่สองนางไหนเลยจะยังปั้นหน้ายิ้มแย้มให้เขาได้อีก
เห็นแขนของเขาที่ใหญ่กำยำ เห็นขาของเขาที่ยืดยาว แค่นึกว่าถ้าเขาหัดทำตัวสุภาพเรียบร้อยมีมารยาทเหมือนอย่างเฉินป๋อจงหรือเฉินเซี่ยวจงบ้าง บางทีเขาอาจไม่หยาบคายและใจร้อนเช่นนี้
ข้อบกพร่องเต็มตัวแทนที่จะพยายามแก้ไข กลับมาวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของชาวบ้าน มิหนำซ้ำยังจงใจทำตัวขัดใจนาง
เห็นเฉินจิ้งจงสูดบะหมี่คำโตเช่นนั้น หวาหยางก็อดชี้ไปที่นอกประตูไม่ได้ “ไปกินที่เรือนปีกข้างโน่น!”
สามีภรรยามีแต่ต้องพยายามร่วมกันถึงจะมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันได้ ในเมื่อเฉินจิ้งจงไม่ยอมให้ความร่วมมือ แล้วนางมีเหตุผลอันใดให้ต้องยอมทน
ด้วยเหตุนี้เฉินจิ้งจงจึงทำเพียงมองนางปราดหนึ่ง ถือชามตะเกียบเดินจากไป
หวาหยางกลับเข้าห้องด้วยความโมโห
เฉาอวิ๋นตามเข้ามา ประคององค์หญิงนั่งลงพลางลูบแผ่นหลังนางเบาๆ เอ่ยอย่างเจ็บปวดใจแทน “องค์หญิงอย่าได้กริ้วนะเพคะ เดี๋ยวจะส่งผลเสียต่อพระวรกาย แลกกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อยนะเพคะ”
หวาหยางมองออกไปที่นอกหน้าต่าง เห็นเงาร่างของเฉินจิ้งจงหายลับเข้าไปในเรือนปีกตะวันออกพอดี “ข้าก็ใช่ว่าอยากโมโห แต่คำพูดของเขาเจ้าเองก็ได้ยินไม่ใช่หรือไร”
ก่อนหน้านี้เดิมทีเฉาอวิ๋นเดินจากไปไกลแล้ว แต่เพราะฟังออกถึงความรู้สึกขุ่นข้องของผู้เป็นนาย นางจึงลอบขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะได้ยินราชบุตรเขยกล่าววาจาสกปรกไร้ยางอายอย่าง ‘ขอแค่ตอนข้าต้องการองค์หญิงยอมให้ความร่วมมือด้วย’ ซึ่งเป็นสาเหตุให้องค์หญิงยิ่งเดือดดาลเข้าไปใหญ่
อย่าว่าแต่องค์หญิงเลย แม้แต่เฉาอวิ๋นเองก็ยังรู้สึกโมโห!
เยี่ยม ราชบุตรเขยอยากนอนด้วย องค์หญิงก็ต้องให้ความร่วมมือน่ะหรือ เขาเห็นองค์หญิงของข้าเป็นนางคณิกาขับร้องบทเพลงกล่อมนอนหรือไรกัน
องค์หญิงของนางฐานะสูงส่ง ราชบุตรเขยแทนที่จะหาหนทางเอาอกเอาใจองค์หญิงเพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสกลับขึ้นไปนอนเตียงเหมือนเก่า แต่นี่อะไร กลับหาว่าองค์หญิงของนางชักสีหน้า มิหนำซ้ำยังจงใจหาเรื่องให้องค์หญิงโกรธอีก
“ได้ยินแล้วหม่อมฉันยังอยากจับราชบุตรเขยกดนอนบนม้านั่ง โบยเขาให้หนักๆ สักหลายๆ ทีช่วยองค์หญิงระบายโทสะ!” เฉาอวิ๋นพูดพลางมองไปทางเรือนปีกตะวันออกด้วยสายตาชิงชัง
หวาหยางนึกภาพไปตามคำพูดของอีกฝ่าย ในใจรู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อย
เฉาอวิ๋นช่วยนวดไหล่ให้องค์หญิงอย่างใส่ใจ พอได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกของผู้เป็นนายกลับมาเป็นปกติ นางก็เริ่มเล่าเรื่องราชบุตรเขยไปล่าสัตว์ออกมา
“องค์หญิง แม้บางครั้งราชบุตรเขยจะทำตัวน่าโมโห แต่ถึงอย่างนั้นในใจเขาก็ยังคงเป็นห่วงองค์หญิงไม่น้อยนะเพคะ ยังไม่ทันกินข้าวเช้าราชบุตรเขยก็ปีนกำแพงออกไปตั้งแต่หัวรุ่ง จับไก่ป่ากับปลาตัวหนึ่งกลับมา บอกเฉาเยวี่ยให้ตุ๋นน้ำแกงบำรุงสุขภาพให้พระองค์”
นางเป็นคนยุติธรรม กับราชบุตรเขยอะไรควรด่าก็ด่า อะไรควรชมก็ชม
หวาหยางตะลึงงัน
ชาติที่แล้วเฉินจิ้งจงลอบออกไปกินเนื้อสัตว์ ถ้าจำไม่ผิดเหตุการณ์เหมือนไม่ได้เกิดขึ้นเร็วเช่นนี้ ย่าแท้ๆ ของตนเองเพิ่งถูกฝังกลบไปได้แค่ครึ่งเดือนเท่านั้นไม่ใช่หรือไร
หรือเพราะเมื่อวานเขาตักตวงผลประโยชน์จากนางไปเต็มอิ่มแล้ว จึงใช้วิธีนี้ตอบแทนน้ำใจ?
คิดว่านางอยากได้น้ำแกงปลาของเขานักหรือไร
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางช่วยชี้หนทางให้เขา มิหนำซ้ำยังบอกออกไปชัดแจ้งด้วยว่านางประสงค์สิ่งใด แต่เฉินจิ้งจงกลับไม่ยอมรับปาก!
“ไม่กิน ไปบอกเฉาเยวี่ย ถ้าราชบุตรเขยอยากกินน้ำแกงก็ให้เขาลงครัวเอง พวกเจ้าห้ามช่วยเขาเด็ดขาด ทำได้แค่เพียงเตรียมอาหารปกติให้เขาสามมื้อต่อวันเท่านั้น”
เฉาอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานนางก็ตัดสินใจได้!
ฝั่งหนึ่งคือน้ำแกงปลาธรรมดาๆ ถ้วยหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งคือคำสั่งขององค์หญิง แน่นอนว่าอย่างหลังย่อมสำคัญกว่า!
ราชบุตรเขยทำองค์หญิงโมโหเช่นนี้ เลิกฝันไปได้เลยว่าจะใช้น้ำแกงปลาถ้วยหนึ่งขจัดความรู้สึกขุ่นข้องได้