ที่ห้องประธาน หวาหยางกับเฉินจิ้งจงเพิ่งกินอาหารเสร็จ จานที่วางอยู่ตรงหน้าเฉินจิ้งจงคือเศษก้างปลายาวๆ ชิ้นหนึ่ง แล้วยังมีก้างเล็กๆ อีกเป็นจำนวนมาก
ทางหวาหยางก้างปลาแม้แต่สักชิ้นก็ไม่มี เนื้อปลาที่นางกินนั้นเฉินจิ้งจงล้วนเลือกเอาก้างออกจนหมดก่อนถึงค่อยส่งมาให้
“องค์หญิง คุณชายสามมาขอพบราชบุตรเขยเพคะ”
เฉาอวิ๋นเคยกำชับเจินเอ๋อร์ว่าให้เข้ามารายงานก่อน ห้ามพูดอะไรทั้งสิ้น
หวาหยางมองไปทางเฉินจิ้งจง “หรือว่าเขาได้กลิ่น?”
กลิ่นปลาทอดชัดเจนกว่ากลิ่นตุ๋นน้ำแกงปลา ถึงเฉาเยวี่ยจะทำตามเฉินจิ้งจงปิดประตูหน้าต่างสนิทแล้วก็ตามที ทว่ากลิ่นหอมของมันก็ยังคงกำจายออกมาเล็กน้อย
เฉินจิ้งจงเอ่ยว่า “ได้กลิ่นก็เท่านั้น ขอเพียงพวกเราไม่ยอมรับ พวกเขาย่อมพูดอะไรไม่ได้”
เขาบอกให้เฉาอวิ๋นรินน้ำชา กินจนปากมันไปหมดเช่นนี้ ก่อนไปพบพี่สามจำเป็นต้องกลั้วปากก่อน ไม่อย่างนั้นหลักฐานย่อมปรากฏชัดแจ้ง
หวาหยางมองดูเขาสาละวนทำนั่นนี่ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยขึ้น “พี่สามไม่เหมือนคนตะกละ คิดว่าน่าจะมาเพราะพี่สะใภ้สาม พี่สะใภ้สามกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทุกมื้อได้กินแต่ผัก น่าสงสารยิ่งนัก”
ได้ยินว่าระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้ส่วนใหญ่มักทะเลาะเบาะแว้งกระทบกระทั่งกันได้ง่าย ทว่าเรื่องเช่นนี้กลับไม่มีทางเกิดขึ้นกับหวาหยาง
ชาติที่แล้วต่อหน้านางพี่สะใภ้ทั้งสองล้วนนอบน้อม ตรงกันข้ามกลับเป็นนางที่วางตัวสูงส่ง ชอบอยู่คนเดียวมากกว่าจะไปพูดคุยกับเหล่าพี่สะใภ้
เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับศีรษะที่นางใช้ล้วนเป็นของพระราชทานด้วยกันทั้งสิ้น แล้วมีอะไรให้นางต้องไปอิจฉาผู้อื่น
ผนวกกับภาพพวกเฉินเซี่ยวจงถูกล่ามโซ่ตีตรวนเดินอยู่กลางหิมะให้เป็นที่น่าเวทนาที่นางได้เห็นเองกับตา หวาหยางที่กลับมาเกิดใหม่ยิ่งใจอ่อนมากขึ้นไปอีก
เฉินจิ้งจงบ้วนชาในปากทิ้ง สายตาที่มองดูนางคล้ายกำลังมองดูสตรีโง่งม
หวาหยางขมวดคิ้ว “มีอะไรหรือ”
“ท่านใช่องค์หญิงเสียที่ใด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเทพธิดาที่ลงมายังโลกมนุษย์ ไม่รู้จักความยากลำบากของแดนมนุษย์ เห็นใครน่าสงสารก็ล้วนนึกอยากช่วยเหลือ”
ถูกอีกฝ่ายกระเซ้าเช่นนั้น ใบหน้างดงามของหวาหยางจากขาวก็กลายเป็นแดง จากแดงกลายเป็นเขียว
เฉินจิ้งจงเอ่ยปากแทนนาง “ท่านคิดว่าข้าใจดำใช่หรือไม่ แค่ปลาตัวเดียว แม้แต่กับพี่ชายพี่สะใภ้ก็ยังไม่อยากแบ่งให้”
หวาหยางไม่ได้คิดเช่นนั้น นางแค่รู้สึกว่าถ้าบ้านสามล่วงรู้ความลับของพวกนางแล้ว เช่นนั้นก็แค่ให้เฉินจิ้งจงส่งปลาส่งไก่ไปให้พวกเขาบ้างเป็นบางคราวก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร ถึงอย่างไรทางนั้นก็มีสตรีตั้งครรภ์อยู่
เฉินจิ้งจงประชดออกมาคราหนึ่ง “ข้าไปจับปลาเพราะทนเห็นองค์หญิงผ่ายผอมเช่นนี้ไม่ได้ อยากให้องค์หญิงบำรุงร่างกาย ถ้าพี่สามเอ็นดูพี่สะใภ้สามจริง เขาก็ควรจะไปเอง ท่านอย่าได้ถูกท่าทีเยี่ยงปัญญาชนของเขาหลอกเอาเชียวล่ะ เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนเจ็ดแปดขวบถึงได้เข้าเมืองหลวง ตอนเด็กๆ เขาก็ตะลอนไปทั่วหุบเขา ต่อให้ตอนนี้จับไก่ป่าจับกระต่ายไม่ได้ นึกอยากกินปลาก็ย่อมรู้ว่าจะไปหาจากที่ใด
เขาไม่ไปเองเพราะกลัวตาเฒ่าจะจับได้ กลัวท่วงทีเยี่ยงสุภาพชนจะเสื่อมเสีย กลัวถูกหาว่าเป็นคนไม่กตัญญู มาขอแบ่งปลาจากพวกเราที่นี่ พวกเขาสองสามีภรรยาย่อมสบายใจกว่า รู้สึกว่าพวกเราทำลายกฎเกณฑ์ก่อน หากวันใดถูกตาเฒ่าจับได้ พวกเขาย่อมสามารถยกเรื่องตั้งครรภ์ขึ้นเป็นข้ออ้าง แล้วพวกเราเล่ามีข้ออ้างอะไร หรือจะให้ข้าบอกว่าองค์หญิงทนความลำบากไม่ได้?
เรื่องไม่เผยพิรุธยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาทางนั้นมีเอ้อร์หลาง ซานหลาง พี่สามถึงจะเจ้าเล่ห์ แต่เด็กสองคนนั่นไหนเลยจะหลอกตาเฒ่าได้”
หวาหยาง “…”
“โชคดีที่ท่านเป็นองค์หญิง หากเป็นหญิงสาวชาวบ้าน หลังแต่งงานมีพี่สะใภ้น้องสะใภ้สักหลายๆ คน ชาตินี้ทั้งชาติรับรองว่าต้องได้ถูกชาวบ้านรังแกจนตายแน่” พูดจบเขาก็สะบัดชายเสื้อ เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
หวาหยางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เฉาอวิ๋นกระซิบเตือน “องค์หญิงอย่าได้กริ้ว คำพูดของราชบุตรเขยจะว่าไปก็มีเหตุผลอยู่นะเพคะ”
หวาหยางเข้าใจ ที่นางไม่พอใจคือท่าทางของเฉินจิ้งจงต่างหาก แค่คุยเหตุผลกันดีๆ ก็ได้ไม่ใช่หรือไร เหตุใดต้องหยันเย้ยกระแนะกระแหนกันเช่นนั้นด้วย
ได้ยินว่าราชบุตรเขยทั้งหลายต่อหน้าองค์หญิงล้วนแต่วางตัวนอบน้อม แล้วเหตุใดเฉินจิ้งจงผู้นี้ถึงได้ต่างออกไปเพียงนี้ แม้แต่เสด็จพ่อยังไม่เคยพูดกับนางเช่นนี้มาก่อน!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ย. 68