เฉาอวิ๋นหลบอยู่หลังหน้าต่างโถงกลาง พอประตูครัวเปิดออก เห็นราชบุตรเขยประคองถาดรองเดินตรงมาที่ห้องประธาน นางก็รีบเข้าไปรายงานองค์หญิงที่อยู่ในห้องนอน
หวาหยางนั่งอยู่ริมโต๊ะโดยมีกระดาษเซวียนจื่อ แผ่นหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า กำลังเตรียมเขียนจดหมายให้เสด็จแม่กับฮ่องเต้คนละฉบับ
ชาติที่แล้วนางเห็นหลิงโจวเป็นดินแดนแร้นแค้นห่างไกล คิดว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นเรื่องลำบากลำบน ไม่มีอะไรให้เขียน ดังนั้นจึงมีเพียงช่วงก่อนปลายปีเท่านั้นที่นางจะตอบกลับไปอย่างขอไปที
ยามนี้นางคิดจะเขียนเรื่องราวที่น่าสนใจอะไรบางอย่างให้เสด็จแม่และน้องชายเชื่อว่านางอยู่ที่นี่สุขกายสบายใจดี
เพิ่งเริ่มเขียนคำว่า ‘ทูลเสด็จแม่’ เฉาอวิ๋นก็ตรงเข้ามารายงานข่าว
“พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”
หวาหยางมือขวาจับพู่กัน มือซ้ายยกชายแขนเสื้อ ลงมือเขียนต่อ
ขณะที่เฉินจิ้งจงประคองถ้วยน้ำแกงเดินเข้าไปในโถงกลาง เขาก็เห็นเฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยเดินออกมาจากห้องนอนทีละคน สีหน้าของเขายังคงเป็นปกติคล้ายไม่สนใจว่าพวกสาวใช้รู้แล้วว่าเขาลงมือทำน้ำแกงปลาให้องค์หญิงเองกับมือ
เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยก้มหน้าหลบไปยืนอยู่อีกด้านเปิดทางให้เขา ทันทีที่เฉินจิ้งจงเดินผ่านหน้าไปพวกนางสองคนก็ได้กลิ่นน้ำแกงหอมกรุ่นยั่วจมูก
เฉาอวิ๋นกลืนน้ำลายอย่างไม่นึกละอาย
สำหรับพวกนางแล้วน้ำแกงปลาไม่ใช่ของหายากอะไร ทว่าสามเดือนมาแล้วที่พวกนางไม่เคยได้ลิ้มรสเลยสักครั้ง ด้วยเหตุนี้น้ำแกงปลาถ้วยหนึ่งจึงกลายเป็นอาหารอันโอชะ
อยู่ห่างกันเพียงคืบ
เฉินจิ้งจงเดินตรงมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ วางถาดลงตรงหน้าหญิงสาว
หวาหยางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองดูถ้วยน้ำแกงตรงหน้าปราดหนึ่งก่อนจะหันกลับไปตั้งอกตั้งใจเขียนจดหมายต่อ
เฉินจิ้งจงเปิดฝาถ้วยออก กลิ่นหอมข้นๆ แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
ขนตาของหวาหยางกระตุกเล็กน้อย ทว่านางกลับทำทีคล้ายไม่ได้กลิ่นอันใด
เฉินจิ้งจงไม่ได้สังเกตดูว่านางเขียนอะไร เขาตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งออกมาวางแยก ก่อนจะนั่งลงไป ใช้ตะเกียบคีบเนื้อที่ไม่มีก้างออกมาจากหัวปลา แยกวางลงบนจานอีกใบ
“น้ำแกงยังร้อนอยู่ องค์หญิงกินเนื้อก่อนก็แล้วกัน”
หลังคีบเนื้อออกมาห้าหกชิ้น เฉินจิ้งจงก็เลื่อนจานไปทางนาง
หวาหยางสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามาที่นี่เพื่อไว้ทุกข์ให้ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ใช่มากินเนื้อสัตว์”
“องค์หญิงผ่ายผอมเช่นนี้ ท่านย่าเห็นต้องเจ็บปวดใจแน่”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่ทันไรก็เห็นท่านเหมือนสินค้าชิ้นหนึ่ง วันๆ เอาแต่ชักสีหน้าใส่ท่าน อีกทั้งยังไม่ให้ท่านนอนเตียงอีก เช่นนี้แล้วฮูหยินผู้เฒ่าคงมีแต่จะตำหนิว่าข้ารังแกหลานชายที่แสนดีของนางมากกว่า”
“วางใจได้ ท่านย่าเป็นคนขี้ขลาด ต่อให้ข้านอนพื้นทุกคืน นางก็ไม่มีทางกล้ามีเรื่องกับองค์หญิง” เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หวาหยางมองดูเนื้อปลาในถ้วยนั่นก่อนจะช้อนตามองเขา “ในเมื่อท่านโกรธข้า แล้วเหตุใดถึงยังทำดีหวังผลกับข้าอีก”
“องค์หญิงอดอยากผ่ายผอมอยู่ที่บ้านข้า หากข้าไม่ขุนองค์หญิงให้อ้วนขึ้นอีกหน่อย กลับเมืองหลวงไปไหนเลยจะมีคำตอบให้กับฝ่าบาทได้”
หวาหยางยังคงเขียนหนังสือต่อ “อารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าจะอร่อยสักเพียงใดข้าก็ไม่อยากกิน”
“หากข้ากินข้าวเสียงเบา องค์หญิงก็จะอารมณ์ดีอย่างนั้นหรือ”
หวาหยางยอมรับอยู่เงียบๆ