เฉินจิ้งจงยังอยากพูดถึงเรื่องขึ้นไปนอนบนเตียง แต่เพราะกลัวจะทะเลาะกันขึ้นมาอีกจึงได้แต่ตอบรับนางก่อน “ได้ หากองค์หญิงยอมกินเนื้อดื่มน้ำแกงดีๆ ข้าจะยอมเปลี่ยน”
หวาหยางอยากทำดีกับเขาจริงๆ พอเห็นเขายอมถอยก้าวหนึ่งนางก็ไม่ดื้อรั้นอีก ย้ายกระดาษกับพู่กันไปข้างๆ แล้วถือจานไว้
เฉินจิ้งจงรีบยื่นตะเกียบส่งให้นาง
เนื้อปลาสดใหม่ รสชาติเค็มกำลังดี หวาหยางกินอย่างพินิจพิจารณาและระมัดระวัง โชคดีที่ไม่ได้กินถูกก้างเข้า
เฉินจิ้งจงนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม มองดูขนตายาวๆ ของอีกฝ่ายที่กำลังหลุบลง แก้มตอบขาวสะอาดขับดุนให้ริมฝีปากแลดูนุ่มนวลอ่อนโยนหยาดเยิ้ม
ไม่เสียทีที่เป็นองค์หญิง จะกินอะไรล้วนแทบไม่มีเสียง อีกทั้งยังคล้ายเป็นเช่นนี้นับแต่เกิด ไม่ชวนให้คนรู้สึกว่านางจงใจทำ
“หากเหล่าทหารล้วนกินเหมือนอย่างองค์หญิง ม้าเหล็กของพวกศัตรูคงบุกเข้าถึงค่ายก่อนแล้ว” เฉินจิ้งจงเอ่ยปากประชดเล็กน้อย
หวาหยางไม่ได้มองดูเขา “ข้าไม่ใช่ทหาร”
“แต่ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์ ตีข้าให้ตายข้าก็ทำอย่างองค์หญิงไม่ได้”
“ข้าไม่ได้ให้ท่านทำอย่างข้า แค่เอาอย่างบิดาและพี่ชายท่านก็พอ แน่นอนว่าหากข้ามองไม่เห็น ท่านจะกินดื่มเช่นไรก็ตามแต่”
เฉินจิ้งจงประชดเสียงออกจมูก ทว่ามือกลับยังคงคีบเนื้อปลาให้นางต่อ ให้จานที่อยู่ตรงหน้านางยังคงมีเนื้อปลาห้าหกชิ้นเหมือนเช่นเดิม
หลังจากกินปลาไปได้เจ็ดแปดชิ้น หวาหยางก็นึกอยากหยุดตะเกียบ
เฉินจิ้งจงยังคงควานหาเนื้อจากหัวปลา เขาเอ่ยปากโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “กินให้มากหน่อย หน้าอกเป็นไม้กระดานหมดแล้ว”
หวาหยาง “…”
เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงไม่รู้เพราะโกรธหรือขัดเขินกันแน่ เฉินจิ้งจงก็แย้มยิ้ม “พูดตรงไปตรงมาก็ไม่ได้หรือ ตอนแต่งเข้ามาใหม่ๆ องค์หญิงยังดูอวบอ้วนอยู่นิดหน่อยเลย”
คำว่าอวบอ้วนนี้เขาจงใจกระเซ้านาง อันที่จริงต้องบอกว่าอวบอัดมากกว่า
ตอนอยู่ในเมืองหลวงเขาเคยพบเจอโฉมสะคราญรูปร่างผอมเพรียวมาไม่ใช่น้อย รวมทั้งพี่สะใภ้ทั้งสองก็จัดอยู่ในพวกต้องลมเข้าหน่อยก็ล้มได้ทันที ทว่าหวาหยางกลับต่างออกไป ถึงเอวจะเล็กคอดกิ่ว แต่แก้มกลับเป็นพวง คล้ายผลท้ออวบอิ่มส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ชวนให้คนนึกอยากพุ่งเข้าไปกัดสักคำ
ตอนที่ตาเฒ่าบอกให้เขาแต่งกับองค์หญิงที่ฟังดูเหมือนจะเอาใจยากนั้น เฉินจิ้งจงเคยเอ่ยปากปฏิเสธมาก่อน จนกระทั่งวันที่ได้พบเจอกันที่ลานประลอง เขาเห็นนางขาวสล้างโดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่เดินตามหลังฮ่องเต้อยู่ไกลๆ แค่ความขาวราวกับหิมะแรกนั่นก็ทำเอาท้องน้อยของเขาเกร็งไปหมด
เขาอยากได้ตัวนาง ขอเพียงนางยอมหลับนอนกับเขา ตอนกลางวันนางจะเย่อหยิ่งสักเพียงใด รังเกียจชิงชังเขาปานใด ต่อให้ต่อว่าต่อขานเขาหนักถึงเพียงใด เฉินจิ้งจงก็ล้วนไม่ใส่ใจ
หวาหยางไม่พอใจกับวาจาสกปรกโสมมของเขาอยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งพอเห็นสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่อกเสื้อของนางเช่นนั้น นางก็ยิ่งเดือดดาล
ต้องเป็นเพราะเมื่อคืนนางยอมเขามากไปแน่ๆ เขาถึงยิ่งทำตัวหน้าไม่อายเช่นนี้
นางวางตะเกียบลงด้วยสีหน้าเย็นชาปั้นปึ่ง “ข้าไม่กินแล้ว ท่านยกออกไปได้แล้ว”
เฉินจิ้งจงเลื่อนถ้วยน้ำแกงมาทางนาง “น้ำแกงต่างหากถึงจะเป็นอาหารหลัก องค์หญิงลองชิมดูก่อน ถ้าอร่อยก็ยกโทษที่เมื่อครู่ข้าปากไม่มีหูรูดก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่อร่อยข้ายินดีรับโทษเพิ่ม เชิญองค์หญิงลงโทษได้ตามสบาย”
หวาหยางนึกคล้อยตาม ใช้ช้อนตักน้ำแกงขึ้นมาคำเล็กๆ หลังจากดื่มเสร็จนางก็ขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ เฉินจิ้งจงก็พูดขึ้น
“ถ้าบอกว่าไม่อร่อย น้ำแกงปลาที่เหลือล้วนเป็นของข้า หลังจากนี้ข้าจะไม่ขึ้นเขาทำอาหารป่าให้องค์หญิงอีก นอกเสียจากว่าองค์หญิงจะให้ข้านอนด้วย นอนครั้งหนึ่งแลกกับอาหารสำหรับหนึ่งวัน”
หวาหยาง “…”
“ตอนนี้องค์หญิงพูดออกมาตามตรงได้เลย หลังจากนี้ไม่ว่าท่านจะให้ข้านอนด้วยหรือไม่ ขอเพียงข้าขึ้นเขาไปหาของกิน ข้าจะเอากลับมาแบ่งให้องค์หญิงส่วนหนึ่ง”
หวาหยางใบหน้าแดงก่ำ นางตำหนิเขาเสียงแผ่ว “วันๆ ท่านรู้จักก็แต่เรื่องหลับนอนหรือไร”
เฉินจิ้งจงพิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้ สีหน้าคล้ายไม่ได้ทำผิดอะไร “องค์หญิงเพิ่งจะยอมให้ข้านอนด้วยแค่สองครั้งเท่านั้น ตอนนี้ยังจะห้ามข้านึกถึงอีกอย่างนั้นหรือ”
หวาหยางไม่อยากคุยกับเขาเรื่องนี้ นางหน้าหงิกหน้างอเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลงบนขอบเตียง ใบหน้าหันเข้าด้านใน เผยให้เห็นลำคอเรียวยาวสีชมพูระเรื่อ