บทที่ 6
น้ำแกงปลาที่เหลือไม่ได้เสียเปล่า ทั้งหมดล้วนตกสู่กระเพาะของเฉินจิ้งจง
เพราะเพิ่งทำหญิงสาวหลั่งน้ำตาหมาดๆ เฉินจิ้งจงจึงกินอย่างไม่สบายใจเท่าไรนัก เขาใช้ช้อนเล็กของนางค่อยๆ ตัก ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ยกถ้วยจรดปากได้ก็กรอกมันลงท้องไปตรงๆ
หวาหยางนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ลงมือเขียนจดหมายต่อ
นางไม่มีอันใดปิดบัง เฉินจิ้งจงเองก็มองดูนางเขียนอย่างเปิดเผย หน้าแรกที่นางเขียนล้วนแต่บรรยายว่าระหว่างทางคนที่บ้านของเขานั้นเอาใจใส่ดูแลนางเช่นไร ตัวอักษรที่นางเขียนล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจที่มีต่อพวกเขา
ช้อนในมือของเฉินจิ้งจงกระแทกถูกมุมปากทำให้น้ำแกงกระฉอก เขารีบดึงตัวออก โชคดีที่ไม่ได้เปื้อนถูกอกเสื้อ เพียงแต่การเคลื่อนไหวใหญ่โต งกๆ เงิ่นๆ เกินไปหน่อยก็เท่านั้น
หวาหยางชายตามองเขาปราดหนึ่ง
รังเกียจก็ยังคงรังเกียจ แต่ไม่ได้ชิงชังเหมือนอย่างในอดีต คล้ายแค่ตำหนิติติงมากกว่า
สายตาของนางทำเอาเฉินจิ้งจงคันคะเยอไปทั้งเนื้อทั้งตัว เขาเพิ่งรับปากนางว่าจะไม่แสดงอารมณ์ปรารถนาใดๆ ออกมา ดังนั้นจึงทำได้เพียงแสร้งว่าจิตใจสงบนิ่งดั่งสายน้ำ
“จดหมายนั่นแจ้งแต่เรื่องดี ไม่บอกกล่าวเรื่องร้าย?”
เฉินจิ้งจงวางช้อนลง เขาเดาว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะอธิบายได้ว่าเหตุใดนางที่มีแต่ความไม่พอใจเต็มท้อง แต่สิ่งที่เขียนกลับเหมือนเป็นคนละคนเลย
“พูดตามตรง นอกจากท่านแล้ว คนในบ้านของท่านทุกคนล้วนห่วงใยเอาใจใส่ข้า ส่วนเรื่องจุดพักม้าซอมซ่อรถม้านั่งไม่สบายนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ยากจะเลี่ยงได้”
“เหตุใดต้องนอกจากข้า ข้าปฏิบัติต่อองค์หญิงไม่ดีตรงที่ใด”
หวาหยางยังไม่ทันพลิกบัญชีเก่า เสียงของเฉาอวิ๋นก็ดังลอยเข้ามา “องค์หญิง ราชบุตรเขย เฉินฮูหยินมาเพคะ!”
พวกเขาสองสามีภรรยาสบตากันทีหนึ่ง หวาหยางลุกขึ้นเก็บโต๊ะหนังสือ เฉินจิ้งจงรีบเอาถ้วยน้ำแกงกับข้าวของอื่นๆ ไปเก็บซ่อน…ในห้องเวจ
หวาหยาง “…”
นางไม่มีทางใช้ถ้วยชามชุดนี้อีก
ครั้นเฉินจิ้งจงออกมาจากห้องเวจ นางก็ถลึงตาใส่เขาคราหนึ่งก่อนจะเดินออกไป
ซุนซื่อเดินตามเจินเอ๋อร์เข้าไปในลาน โดยมีสาวใช้รุ่นใหญ่ที่ชื่อล่าเหมยเดินตามหลังมาด้วย
ซุนซื่อคือภรรยาของเก๋อเหล่าเฉินถิงเจี้ยน
นางเกิดในเมืองหลิงโจว บิดาเป็นอาจารย์อยู่ในสำนักศึกษาของทางการ ความรู้กว้างขวาง ในเวลานั้นเฉินถิงเจี้ยนมักจะไปเยี่ยมคำนับเขาอยู่เสมอ ถึงได้รู้จักซุนซื่อ สุดท้ายก็สู่ขอนางเป็นภรรยา
แม่สามีอำลาโลก ซุนซื่อผู้เป็นสะใภ้สวมอาภรณ์ไว้ทุกข์สีขาว บนศีรษะปักปิ่นไม้จันทน์ไว้อันหนึ่ง แต่งกายไม่ต่างอะไรกับสตรีทั่วไปในตำบล เพียงแต่ยามเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยงดงาม ยิ่งต่อมาเป็นภรรยาขุนนางติดตามเฉินถิงเจี้ยนผู้เป็นสามี มีชีวิตกินดีอยู่ดี ท่วงท่าจึงยิ่งไม่ธรรมดา แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นฮูหยินของผู้มีอำนาจวาสนา
เรือนซื่ออี๋ถังกับเรือนหลักอยู่ห่างกันแค่หนึ่งระเบียงทางเดิน เมื่อวานตอนพลบค่ำงูตัวหนึ่งทำหวาหยางตกใจกรีดร้องเสียงดัง เฉินถิงเจี้ยนกับซุนซื่อต่างได้ยิน ในเวลานั้นซุนซื่อรีบเข้ามาปลอบใจนาง วันนี้ก็แวะมาเยี่ยมอีก ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะเป็นห่วงกลัวองค์หญิงงามหยาดเยิ้มผู้เป็นสะใภ้จะตกใจจนล้มป่วยเอา
หลังสอบถามเจินเอ๋อร์เป็นที่เรียบร้อย ซุนซื่อก็เห็นหวาหยางเดินออกจากห้องประธานมา ที่ตามอยู่ทางด้านหลังคือบุตรชายคนสุดท้องของตนเอง
ซุนซื่อกวาดตามองดูใบหน้าของสองสามีภรรยาปราดหนึ่ง หรี่ตาลงเล็กน้อย
เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ!
องค์หญิงไม่พอใจที่เจ้าสี่ทำตัวหยาบกระด้าง เจ้าสี่เองก็ไม่ชอบท่าทีหยิ่งยโสขององค์หญิง เวลาอยู่ด้วยกันทั้งคู่มักเห็นอีกฝ่ายขัดหูขัดตา เวลานี้เหตุใดพวกเขาสองคนถึงได้ดูสมัครสมานสามัคคีกันนัก!
หรือว่าในที่สุดองค์หญิงก็เห็นข้อดีบางอย่างของเจ้าสี่แล้ว อย่างเวลากลัวงูกลัวหนอนแมลงสามารถให้เจ้าสี่ช่วยบังขวางได้?