ขณะที่ซุนซื่อกำลังลอบพินิจพิจารณาอยู่เงียบๆ หวาหยางที่กลับมาเกิดใหม่ก็รู้สึกรันทดที่ได้พบเจอแม่สามีใหม่อีกครั้ง
บ้านสกุลเฉินทั้งหมดแทบจะไม่มีใครไม่ให้ความเคารพนับถือนาง แต่คนที่ดีต่อนางที่สุดยังคงเป็นแม่สามีผู้นี้
เพราะพ่อสามีกับพี่ชายสามีเป็นบุรุษ ถึงแม้จะต้องดูแลนางแต่ก็แทบไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับนางเพียงลำพัง ส่วนพี่สะใภ้ทั้งสองก็กลัวนางเป็นที่สุด หรือบางทีพวกนางอาจไม่อยากให้คนรู้สึกว่าตนเองจงใจประจบสอพลอ ดังนั้นจึงมีน้อยครั้งที่จะเสนอตัวมาอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย มีก็แต่แม่สามีเท่านั้นที่มักจะมาเยี่ยมเยือนนางอยู่เป็นประจำ คอยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่เสมอ เอาใจใส่แทบทุกอย่าง
บางทีอาจมีความกลัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทว่าหวาหยางแยกแยะออกว่าสิ่งใดมาจากใจจริง สิ่งใดแค่ทำตามหน้าที่ แม่สามีผู้นี้ชอบนางจริงๆ
แม่สามีดีเช่นนี้ ชาติที่แล้วกลับต้องมาตรอมใจตายหลังสามีสิ้นชีพ คนทั้งจวนถูกจับเข้าคุก พี่ชายใหญ่ถูกปรักปรำถูกโบยตายอย่างไร้ค่า
“ท่านแม่ ท่านมาแล้ว”
หวาหยางเดินตรงเข้าไปประคองแขนซ้ายของแม่สามีอย่างรวดเร็ว
ซุนซื่อตกตะลึง!
สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามหลังจากแต่งเข้ามาล้วนเรียกนางว่าท่านแม่ตามพวกบุตรชาย มีก็แต่องค์หญิงฐานะชาติกำเนิดสูงส่งผู้นี้เท่านั้นที่เรียกนางด้วยความเกรงใจว่ามารดา
เรียกมารดาจะว่าไปก็ดีเหมือนกัน สตรีชาวบ้านที่เติบโตอยู่ในสถานที่เช่นนี้ โชคดีได้องค์หญิงมาเป็นลูกสะใภ้ อันที่จริงก็นับว่าเกิดควันพวยพุ่งขึ้นเหนือสุสานบรรพชน* แล้ว!
ดังนั้นพอได้ยินลูกสะใภ้ซึ่งเป็นองค์หญิงเรียก ‘ท่านแม่’ เช่นนั้น ซุนซื่อก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้!
ถึงจะเห็นท่าทีตกอกตกใจของอีกฝ่ายอยู่ในสายตา แต่หวาหยางก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายเช่นไร
ชาติที่แล้วนางไม่ได้พยายามปรับตัวเข้ากับครอบครัวนี้อย่างจริงจัง ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน หากนางอยากมีคืนวันดีๆ กับเฉินจิ้งจงจริง เช่นนั้นก็มีเรื่องราวบางอย่างที่ต้องแก้ไข
เฉินจิ้งจงมองดูนางอยู่สองสามคราว
หวาหยางคล้ายไม่รู้สึกตัว นางใส่ใจก็แต่ดูแลแม่สามี
ซุนซื่อได้สติ นางเอ่ยปากพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมาก่อน “เมื่อคืนหลังโปรยยาพวกนั้น ยังเห็นหนอนแมลงสัตว์เลื้อยคลานอันใดอีกหรือไม่”
หวาหยางยิ้มพลางส่ายหน้า
ซุนซื่อมองดูทิวเขาที่อยู่ทางทิศเหนือแล้วพูดอย่างอับจน “ที่นี่อยู่ใกล้เขา งูเงี้ยวเขี้ยวขอสัตว์เลื้อยคลานถึงได้มีอยู่มาก พวกหม่อมฉันคุ้นเคยนานแล้ว สงสารก็แต่องค์หญิง พบเจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก คงตกพระทัยไม่น้อย”
หวาหยางไม่ได้ปฏิเสธ
ชาติที่แล้วนางถูกงูเงี้ยวเขี้ยวขอสัตว์เลื้อยคลานที่โผล่มาเป็นพักๆ พวกนั้นทำเอาอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยจริงๆ ทุกครั้งที่ตั้งสติได้นางก็ไปอาละวาดใส่เฉินจิ้งจง จนเฉินจิ้งจงต้องนำยามาโปรยไว้รอบๆ พวกมันถึงได้ค่อยๆ มีจำนวนลดลง
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าขี้ขลาดตาขาว แล้วเมื่อคืนตอนเข้าใจผิดว่าเฉินจิ้งจงเป็นผี เหตุใดถึงไม่กลัวเล่า
หวาหยางลอบชำเลืองมองไปทางเฉินจิ้งจง
เฉินจิ้งจงคิดว่านางกำลังตำหนิที่เขาไม่ได้ทำหน้าที่องครักษ์ให้ดี ไม่ได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนรอบคอบ เขาระแวดระวังป้องกันโจรร้ายได้ ทว่ากับงูตัวเท่าตะเกียบจะให้คนที่อยู่เรือนปีกตะวันออกอย่างเขาป้องกันอย่างไร
จะว่าไปเขาควรต้องขอบใจงูน้อยตัวนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงยังต้องนอนคนเดียวอยู่ในเรือนปีกข้าง ไหนเลยจะสำราญบานใจอย่างเมื่อคืนได้
คนทั้งสามเข้าไปยังโถงกลาง
จู่ๆ ซุนซื่อก็สูดจมูกฟุดฟิด
หวาหยางเป็นวัวสันหลังหวะ นางไม่ปรารถนาให้แม่สามีพบว่าตนลอบกินเนื้อสัตว์