เฉินเซี่ยวจงประหลาดใจ “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
หลัวอวี้เยี่ยนเรียกสาวใช้ในเรือนให้พาพวกเด็กๆ ไปล้างมือก่อน หลังจากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินเซี่ยวจงกระซิบลงที่ข้างหูของอีกฝ่าย
“ข้าคล้ายได้กลิ่นปลาทอด ท่านลองดมดู”
เฉินเซี่ยวจงไม่ได้ลองทำ เขายิ้มออกมาก่อนเป็นอันดับแรก “จะเป็นไปได้อย่างไร ในบ้านของพวกเราไม่มีทางมีคนกินเนื้อสัตว์ มิหนำซ้ำด้านหลังยังไม่มีบ้านของผู้อื่น ถึงแม้ที่ถนนด้านหน้าจะมีคนกินปลาอยู่ก็ตาม แต่วันนี้ลมกลับพัดมาจากทิศเหนือ กลิ่นหอมก็ไม่มีวันมาถึงฝั่งเราหรอก”
หลัวอวี้เยี่ยนเบ้ปาก “ใครบอกว่าด้านหลังของพวกเราไม่มีคน น้องสี่กับองค์หญิงมิใช่พักอยู่ที่นั่นหรือไร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีครัวเล็กอยู่ด้วย! เฮอะ เป็นองค์หญิงมีหรือจะทนลำบากได้ ไม่แน่ว่านางอาจจงใจให้ทางนั้นส่งปลาส่งเนื้อให้! ข้าไม่สน ข้าท้องทายาทของสกุลเฉิน ยามนี้ไม่ได้กินเนื้อมาเกือบสามเดือนแล้ว ข้าไม่กินแต่ลูกในท้องของข้าต้องได้กิน เอ้อร์หลาง ซานหลางล้วนฉลาดเฉลียว ท่านไม่กลัวว่าลูกในท้องของท่านคนนี้จะอดจนโง่หรือไร”
องค์หญิงน่าสงสาร แล้วนางไม่น่าสงสารหรือ นางเองก็เป็นบุตรีจวนโหวในเมืองหลวง อยู่ดีกินดีมาตั้งแต่เล็ก ต้องมาทนลำบากเพียงเพื่อปลามื้อหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร
เฉินเซี่ยวจงเอ่ยขึ้น “เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อเคร่งครัดกฎระเบียบเป็นที่สุด ท่านแม่เองก็เชื่อฟังท่านพ่อ เรื่องอื่นๆ พวกเขาอาจทำตามประสงค์ขององค์หญิง แต่เรื่องนี้ไม่มีทาง ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้พ่อบ้านส่งเนื้อสัตว์เข้าไป เพราะเช่นนั้นจะทำให้เดือดร้อนและถูกจับผิดได้”
“แต่ข้าได้กลิ่นปลาจริงๆ!”
เฉินเซี่ยวจงเห็นหลัวอวี้เยี่ยนยืนกรานเช่นนั้น เขาก็ลองสูดจมูกดมดู แต่ไม่รู้ว่าไม่มีจริงๆ หรือจมูกของเขาไม่ไวเท่านางกันแน่ เขาจึงดมไม่ได้กลิ่นอะไรแม้แต่น้อย
ในตอนนี้เองสาวใช้จากเรือนหลักส่งอาหารกลางวันเข้ามาแล้ว ข้าวขาวพร้อมกับข้าวสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง แน่นอนไม่ว่าจะกับข้าวหรือน้ำแกงล้วนไม่มีเนื้อสัตว์
เฉินเซี่ยวจงประคองผู้เป็นภรรยาเข้าโถงกลางก่อน เอ้อร์หลางกับซานหลางล้างมือเสร็จก็เดินตามเข้ามา
เอ้อร์หลางอายุห้าขวบ รู้ว่าครอบครัวต้องไว้ทุกข์ให้กับท่านย่า ส่วนซานหลางอายุสามขวบ ไม่อาจเข้าใจเหตุผล พอเห็นบนโต๊ะไม่มีเนื้อสัตว์ที่ตนเองชอบกิน ใบหน้าเล็กๆ นั่นก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง มองดูบิดามารดาด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจ เขาอยากกลับเมืองหลวงแล้ว ตอนอยู่ในเมืองหลวงทุกวันล้วนมีเนื้อสัตว์กิน บ้านเก่าของท่านปู่ยากจนข้นแค้นเกินทน ทุกมื้อได้แต่กินผักกับโจ๊กขาว
ถ้าหลัวอวี้เยี่ยนไม่ได้กลิ่นปลา นางย่อมทนได้ แต่นี่นางได้กลิ่นแล้ว พอคิดว่าพ่อสามีลำเอียงเอาใจทางเรือนซื่ออี๋ถังมากกว่า นางก็นึกน้อยใจ กินข้าวไม่ลง
บนโต๊ะอาหารบรรยากาศอึมครึม เฉินเซี่ยวจงเห็นเต็มสองตา เขาเองก็รู้สึกไม่สบอารมณ์
ที่สำคัญคือภรรยาของเขาก็เป็นคุณหนูจวนโหวคนหนึ่ง ตอนนี้หรือก็กำลังตั้งครรภ์ แต่กลับกินได้แค่ของพวกนี้ เขามีหรือจะทนดูได้
“วันนี้กินไปก่อนเถอะ อย่างไรข้าจะลองคิดหาหนทางดู” เฉินเซี่ยวจงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ตำแหน่งทั่นฮวาของเขานี้ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ เขามีหน้าตาหล่อเหลา อัธยาศัยดี กิริยาท่าทางงดงาม ยามปลอบใจคนน้ำเสียงหรือก็อ่อนโยน แล้วเช่นนี้สตรีใดเล่าจะต้านทานไหว
หลัวอวี้เยี่ยนชำเลืองมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามี นางตัดสินใจจะยอมอดทนอีกสักครั้ง
นางเองก็หาใช่คนไร้เหตุผล ทุกคนยินดีไว้ทุกข์ นางย่อมไม่มีความคิดเห็นอันใด แต่ถ้าพ่อสามีอนุญาตให้บ้านสี่จุดเตา เช่นนั้นนางก็ควรได้รับการปฏิบัติเฉกเดียวกัน!
หลังมื้ออาหาร เฉินเซี่ยวจงนั่งอยู่ในโถงกลางราวๆ สองเค่อก่อนจะมุ่งหน้าไปเรือนซื่ออี๋ถัง
เจินเอ๋อร์นั่งอยู่บนตั่งน้อยหน้าประตูลาน มือถือเข็มกับด้าย มีตะกร้าเย็บผ้าอยู่ข้างขาของนาง
พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงทางเดิน เจินเอ๋อร์ก็ชะโงกหน้าดู เห็นว่าเป็นคุณชายสามในอาภรณ์สีขาว สวมผ้าโพกศีรษะ งามสง่าราวกับต้นไม้หยกรับลม*
เจินเอ๋อร์สองแก้มแดงระเรื่อ นางรีบเก็บข้าวของข้างกายแล้วลุกขึ้นยืน
“คุณชายสาม”
“อืม ข้ามีธุระต้องการพบราชบุตรเขยของพวกเจ้า ไปบอกกับเขาที”
เรือนของพวกเขาสามพี่น้องล้วนเป็นเรือนคั่นเดี่ยว เดินผ่านเข้าไปก็แทบจะพบกับบ่าวรับใช้ทันที เขานอบน้อมต่อพี่สะใภ้ กับองค์หญิงผู้เป็นน้องสะใภ้ก็ยิ่งไม่กล้าเสียมารยาท ดังนั้นเขาจึงต้องการพบน้องสี่ จะได้พูดคุยกันที่ระเบียงทางเดิน
เจินเอ๋อร์รับคำ รีบตรงไปบอกเฉาอวิ๋น