ที่เรือนฝูชุ่ยถัง หลัวอวี้เยี่ยนนอนตะแคงอยู่บนตั่ง ไม่ได้หลับ พอเห็นผู้เป็นสามีกลับมา นางก็ถามอย่างกระตือรือร้น
“ว่าอย่างไรบ้าง”
เฉินเซี่ยวจงส่ายหน้า “น้องสี่บอกว่าพวกเขาไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ที่เจ้าได้กลิ่นบางทีอาจเป็นกลิ่นเห็ดหูหนูผัดไข่”
หลัวอวี้เยี่ยนเบิกตากว้าง “ท่านคิดว่าข้าแยกแยะกลิ่นผัดไข่กับกลิ่นปลาทอดไม่ออกหรือ ท่านไม่เชื่อข้าใช่หรือไม่ อย่าลืมสิว่าจมูกข้าดีมาแต่ไหนแต่ไร ตอนนั้นหลังสอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาท่านไปดื่มสุราเคล้านารีฉลอง มิหนำซ้ำยังจงใจเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้ายังจับกลิ่นแป้งชาดบนผมท่านได้เลย!”
เฉินเซี่ยวจงรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที “ดื่มสุราเคล้านารีอะไรที่ใดกัน สหายพวกนั้นยืนกรานต้องการเลี้ยงฉลองให้ข้าให้ได้ต่างหาก มิหนำซ้ำยังเชิญสตรีในหอคณิกามาให้ความบันเทิง พวกนางโปรยแป้งชาดไปทั่ว เพราะเปื้อนแป้งชาดและกลัวเจ้าเข้าใจผิดจนโมโหถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เจ้ากลับใช้มันเป็นหลักฐานปรักปรำข้า”
สวรรค์เป็นพยาน ชาตินี้เขามีภรรยาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่เคยคิดจะมีใครไหนอื่นอีกมาก่อน และยิ่งไม่เคยทำตัวแปดเปื้อนอันใด
หลัวอวี้เยี่ยนรื้อฟื้นเรื่องเก่าก็เพียงเพื่อต้องการยืนยันว่าจมูกของนางใช้การได้ดี ไม่ได้นึกสงสัยผู้เป็นสามีแต่อย่างใด
พ่อสามีอบรมสั่งสอนบุตรชายทั้งสามอย่างเข้มงวด ห้ามทำตัวเสเพลเหลวไหล ในบ้านแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงใดๆ หรือก็ไม่มี
ว่ากันว่าก่อนที่คุณชายรองเฉินเหยี่ยนจงจะล้มป่วยอำลาโลกนี้ไปเมื่ออายุสิบแปดปี เคยมีคนเสนอให้เขาแต่งภรรยาจัดงานมงคลขับไล่ความโชคร้าย ต่อให้ไม่มีประโยชน์แต่อย่างน้อยก็ยังมีทายาทสืบสกุล ทว่าเฉินเหยี่ยนจงไม่ต้องการทำลายชีวิตสตรีน่าสงสารนางหนึ่งจึงปฏิเสธไป บิดามารดาก็ไม่มีใครบังคับฝืนใจเขา หากเป็นบิดามารดาบ้านอื่น ต่อให้ต้องใช้ยาก็ต้องบังคับให้เขาทิ้งทายาทสืบสกุลไว้
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของบ้านสกุลเฉิน
“น้องสี่บอกว่าไม่ได้กิน ท่านก็เชื่อหรือ”
หลัวอวี้เยี่ยนขยับเข้าด้านใน ให้สามีนอนลงมาคุยกัน
“ถ้าเป็นแค่เขา ข้าไหนเลยจะเชื่อ แต่มีองค์หญิงอยู่ที่นั่น เขามีหรือจะกล้าโกหกต่อหน้าองค์หญิง”
หลัวอวี้เยี่ยนแค่นเสียงเฮอะ “เกิดองค์หญิงเองก็กินด้วยเล่า พวกเขาสองคนย่อมช่วยกันปกปิด”
ครั้นย้อนนึกถึงท่าทีถือตนขององค์หญิงหวาหยาง เฉินเซี่ยวจงก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่น “องค์หญิงไม่คล้ายคนที่จะหวั่นไหวกับเรื่องอะไรเช่นนั้น”
ยิ่งเป็นคนที่ฐานะชาติกำเนิดสูงส่งก็ยิ่งรักษาหน้า ปกติองค์หญิงรังเกียจน้องสี่ถึงเพียงนั้น แล้วมีหรือจะเปิดช่องให้น้องสี่สบโอกาสเยาะเย้ยตนเองได้ เฉินเซี่ยวจงคิด ต่อให้ตอนนี้น้องสี่เอาอาหารล้ำค่าโอชารสไปวางไว้ตรงมุมปากองค์หญิง นางก็ไม่มีทางกิน
คำพูดนี้จะว่าไปก็มีเหตุผลอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็กินอาหารกลางวันจนอิ่ม ไม่รู้สึกอยากอาหารอะไรอีกแล้ว เพราะไม่อยากสนใจกับเรื่องดังกล่าวอีก หลัวอวี้เยี่ยนจึงกอดสามีพูดคุยเรื่องอื่นแทน
ส่วนทางเรือนซื่ออี๋ถัง เพราะถูกเฉินจิ้งจงหยันเย้ยอย่างไม่ไว้หน้า หวาหยางจึงปิดประตูใส่หน้าเขาอีกคราว ให้เขาไปนอนกลางวันอยู่ที่เรือนปีกตะวันออก
เฉินจิ้งจงไม่สนใจ
ต้องนิสัยเช่นนี้สิถึงจะเรียกว่าปกติ เขาคุ้นชินนานแล้ว