โกรธก็ส่วนโกรธ หวาหยางยังมีเรื่องให้เขาทำอีก หลังกินอาหารเช้าเสร็จนางยื่นจดหมายถึงครอบครัวสองฉบับที่เขียนเสร็จเมื่อวานให้เขา
“ท่านไปถามท่านพ่อดู ถ้าท่านพ่อมีฎีกาที่จะส่งไปเมืองหลวง เช่นนั้นก็ฝากจดหมายสองฉบับนี้ของข้าติดไปด้วย”
เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับพ่อสามีของนาง หลังจัดการงานไว้ทุกข์เป็นที่เรียบร้อย ว่ากันตามหลักเขาก็น่าจะเขียนฎีการายงานความคืบหน้าให้เสด็จพ่อของนาง
เฉินจิ้งจงจงใจถาม “แล้วถ้าไม่มีเล่า”
“เช่นนั้นก็ให้พ่อบ้านไปที่จุดพักม้าสักครั้ง”
บ้านสกุลเฉินแห่งนี้เล็กเกินไป นางกับพี่สะใภ้ทั้งสองก็เหมือนกันที่ต่างพาสาวใช้ติดตัวมาด้วยสี่คน ไม่มีบ่าวชายให้เรียกใช้
เฉินจิ้งจงเข้าใจแล้ว “ข้าก็คือบ่าวรับใช้ข้างกายขององค์หญิงสินะ”
หวาหยางมองเขาปราดหนึ่ง จากนั้นก็หยิบเอาเงินใบ* แผ่นหนึ่งจากในห้องมามอบให้เขา “เงินรางวัล ตอนนี้ท่านคงไปได้แล้วกระมัง”
เฉินจิ้งจงชั่งเงินใบดู สายตาที่มองนางคลุมเครือยากจะเข้าใจ หลังจากนั้นก็เดินจากไป
ณ เรือนหลัก
เก๋อเหล่าเฉินถิงเจี้ยนกำลังต้อนรับน้องรองของตนเองเฉินถิงสือ
ตอนเขาอายุสิบเก้าปีก็สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน หลังจากนั้นถ้าไม่เป็นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวงก็ถูกส่งไปเป็นขุนนางท้องถิ่นตามที่ต่างๆ ตลอดระยะเวลาสามสิบปีล้วนอาศัยน้องรองช่วยดูแลกิจการครอบครัวดูแลมารดา ยามนี้พี่น้องพร้อมหน้า พวกเขาย่อมมีเรื่องมากมายพูดคุยกัน
“พี่ใหญ่ นี่คือสมุดบัญชีของบ้านพวกเรา ก่อนหน้านี้ท่านไม่อยู่บ้าน ตอนนี้ท่านกับพี่สะใภ้กลับมาแล้ว กิจการของทางบ้านสมควรมอบให้พวกท่านดูแล”
เฉินถิงสือชี้ไปยังสมุดบัญชีสองลังที่บ่าวรับใช้แบกเข้ามา พูดอย่างนอบน้อมจริงใจ
เฉินถิงเจี้ยนโบกมือ “เจ้าพูดอะไรของเจ้า ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรข้าก็ต้องกลับไป เรื่องพวกนี้เจ้ากับน้องสะใภ้ดูแลต่อเถอะ”
“อย่างไรพี่ใหญ่ก็ลองเทียบบัญชีดูสักหน่อย…”
“เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับเห็นข้าเป็นคนอื่น!”
เฉินถิงเจี้ยนหน้าตึง ครั้นบารมีแห่งขุนนางที่สะสมมานานปีโถมทับลงมา เฉินถิงสือก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก
เฉินจิ้งจงมาถึงพอดี
ถึงแม้เฉินถิงสือจะเป็นอารอง แต่พอเห็นหลานชายองอาจห้าวหาญเคร่งขรึมจริงจังผู้นี้เข้าก็ไม่วายตกประหม่าเผลอลุกขึ้นยืน
เฉินถิงเจี้ยนถลึงตาใส่ผู้เป็นบุตร “เหตุใดถึงไม่แสดงคารวะต่ออารอง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ใช้ได้หรือไร!”
เฉินจิ้งจงสีหน้าเรียบเฉย “เป็นอาหลานกัน เหตุใดต้องเห็นเป็นอื่นด้วย”
เขาใช้ถ้อยคำที่บิดาของตนเพิ่งพูดย้อนกลับไป
เฉินถิงเจี้ยนหางตากระตุก เจ้าสี่เรียนหนังสือไม่เอาไหนก็จริง แต่ปากคอกลับเราะรายยิ่งกว่าใคร!
เฉินจิ้งจงเองก็ไม่พูดอะไรมาก วางจดหมายสองฉบับลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างตาเฒ่า “จดหมายขององค์หญิง ถ้าท่านมีเวลาก็ฝากส่งไปที่เมืองหลวงด้วย”
เฉินถิงเจี้ยนหางตากระตุกอีกรอบ ส่งสัญญาณให้น้องรองของตนออกไปก่อน เขาถามบุตรชายอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในจดหมายเขียนอะไรไว้”
“วางใจได้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นถ้อยคำชื่นชมครอบครัวพวกเรา”
เฉินถิงเจี้ยนถอนหายใจ ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึม เขาเอ่ยปากสั่งสอนบุตรชาย “ข้ากับท่านแม่ของเจ้าไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายอันใดต่อองค์หญิง ที่องค์หญิงน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดล้วนเพราะเจ้าทั้งนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าองค์หญิงไม่ชอบที่เจ้าทำตัวหยาบกระด้าง แต่กลับไม่รู้จักแก้ไขปรับปรุง ยังคงทำตัวดื้อรั้นดึงดัน!”
เฉินจิ้งจงยิ้มหยัน ยังไม่ทันฟังจบเขาก็เดินจากไปเสียก่อนแล้ว
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนตุลาคม 2568)