“โดน!” นางวาดกระบี่ออกไป แม้จะพบกับความว่างเปล่า แต่มีดสั้นในมือซ้ายต่างหากที่เป็นไม้ตาย เพราะมันแทงทะลุหัวใจฝ่ายตรงข้ามเสียงดังฉึก ทำให้ค่ายกลมีดของทั้งสามคนถูกทำลาย มู่ไคเวยไม่ยอมเว้นจังหวะแม้แต่น้อย กระบี่ลวงเปลี่ยนเป็นจริง โดยทิ้งคมลงบนแขนของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง ทำให้แขนหนึ่งข้างขาดทันที
กวนจีร้องลั่นพร้อมถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็วแต่ไม่รู้ข้อเท้าไปกระแทกถูกอะไรทำให้ขาของเขาชาจนล้มลงกับพื้นอย่างแรง
มู่ไคเวยเบือนหน้าไปมองด้านข้างเล็กน้อย หัวใจนางพลันกระตุก แต่ไม่อาจปล่อยให้โอกาสงามตรงหน้าหลุดมือไป นางจึงลดกระบี่ลงพาดที่คอของกวนจี
หลังควบคุมตัวฝ่ายตรงข้ามสำเร็จแล้ว มู่ไคเวยจึงกวาดตามองกวนจีและสภาพรอบๆ ด้วยสายตางุนงงปนคิดหนัก และสุดท้ายนางก็เก็บวัตถุชิ้นเล็กจิ๋วกลมมนเม็ดหนึ่งขึ้นมาจากข้างเท้า
กวนจื่อกับกวนชินลากตัวหยวนเต๋อต้าซือออกจากห้องแสดงธรรมไปนานแล้ว
เวลานี้ มู่ไคเวยทำให้นักบวชสองคนบาดเจ็บสาหัสและจับตัวกวนจีได้สำเร็จ ในที่สุด คนข้างนอกก็บุกเข้ามาในห้อง และมีเงาคนอีกหลายคนที่พยายามพังหน้าต่างบานใหญ่เพื่อแย่งกันเข้ามา โชคดีที่ทุกคนล้วนแต่เป็นคนของนาง นอกจากราชองครักษ์แล้วก็ยังมีสายของหน่วยประตูหกบานที่มู่ไคเวยลอบวางไว้ในอารามด้วย
ทันทีที่ราชองครักษ์เข้ามาในห้องแสดงธรรมและมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างถนัดก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง พูดเสียงดังลั่นเป็นทำนองว่า “พวกกระหม่อมมาช้า ขอไทเฮาและท่านอ๋องโปรดทรงลงโทษด้วย” ทำให้เหล่าราชองครักษ์ที่ตามหลังเข้ามาต้องคุกเข่าตาม
มู่ไคเวยส่งตัวกวนจีไปให้ลูกน้องสองคน ก่อนเก็บอาวุธในมือกลับเข้าฝัก แล้วหันไปคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเช่นเดียวกัน
“ทำให้ไทเฮาและท่านอ๋องต้องตกพระทัย หม่อมฉัน…เอ๋?” มู่ไคเวยประสานแขนทั้งสองข้างไว้บนหน้าอก แต่ยังไม่ทันที่วลี ‘มีโทษถึงตาย’ สี่คำจะได้หลุดออกจากปาก ใบหน้าของคังอ๋องที่เงยขึ้นมามองนางก็ทำให้หญิงสาวตกใจจนต้องนิ่งงัน
ใช่ว่านางไม่เคยพบคังอ๋องฟู่จิ่นซีมาก่อน แต่ทุกครั้งพวกเขาล้วนอยู่ไกลกัน ไม่เคยได้เจอกันในระยะประชิดเช่นวันนี้
ยามนี้ ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงแค่มือเอื้อม ชายหนุ่มโอบร่างของไทเฮานั่งอยู่บนเบาะ มีเหล่านางกำนัลห้อมล้อม และมู่ไคเวยคุกเข่าขออภัย ทำให้สายตาของทั้งสองคนสบประสานกันพอดี