ตอนแรกเขาตั้งใจแสดงธรรม แต่คิดไม่ถึงว่าคังอ๋องจะเป็นฝ่ายปุจฉาความหมายของอรรถาธิบายพระธรรมของท่านอย่างต่อเนื่อง ถามมาตอบไปตั้งแต่เรื่อง ‘มี’ ในพระคัมภีร์อาคม ‘จิตว่าง’ ในคัมภีร์สติไปจนถึง ‘การทำจิตให้ว่าง’ ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร จนไม่เหลือสิ่งใดให้คุยอีก ทิ้งให้ไทเฮา ‘ทรงเป็นประธาน’ อยู่ที่ด้านข้างจนนางกำนัลชั้นสูงคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องแสดงธรรมอย่างเงียบกริบแต่รวดเร็ว นางยื่นหน้าไปกระซิบที่ริมหูของไทเฮา หยวนเต๋อต้าซือถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนได้เสียท่าทางอันสำรวมไปแล้ว
โชคดีที่ไทเฮาดูจะไม่ได้ใส่ใจ เพราะนางเพียงรับฟังบทสนทนาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ทว่าพอได้รับฟังคำรายงานของนางกำนัล ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตากลับมีอาการมุ่นหัวคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เห็นเช่นนี้ หยวนเต๋อต้าซือย่อมต้องหยุดสนทนาธรรมกับคังอ๋องโดยทันที และเผลอหันไปมองศิษย์ห้าคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมเพื่อร่วมแสดงธรรมด้วยแววตาฉงน
ศิษย์ทั้งหมดของเขาสมควรมีทั้งสิ้นเจ็ดคน พวกเขาเป็นศิษย์เอกที่ติดตามหยวนเต๋อต้าซือมาหลายปีและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่อาจารย์เช่นเขาอย่างมาก แต่ละคนเป็นอัจฉริยชนที่ได้รับสมญานามจากหยวนเต๋อต้าซือด้วยตัวอักษร ‘กวน’ จนถึงวันนี้ หยวนเต๋อต้าซือมีวัยสูงขึ้น กิจธุระทั้งในและนอกวัดจึงต้องมอบหมายให้ศิษย์ดูแลทุกอย่าง ทำให้พวกเขาได้รับฉายาว่า ‘เจ็ดกวนแห่งอารามเป่าหวา’ แต่เหตุใดในงานสำคัญเช่นนี้ ศิษย์ที่ควรมารวมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงได้เหลืออยู่แค่ห้าคน?
หลังฟังคำรายงานจากนางกำนัลจบ ไทเฮาก็เอ่ยเสียงเครียดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ เรียกหน่วยประตูหกบานเข้ามาอธิบายให้ข้าฟัง”
“น้อมรับพระเสาวนีย์เพคะ” นางกำนัลย่อกายแล้วถอยออกไปจากห้องแสดงธรรม
“เสด็จย่า เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องหนุ่มยกชาหอมที่ภิกษุในวัดจัดเตรียมไว้ให้บนโต๊ะเตี้ยข้างตัวขึ้นจิบกลั้วคอก่อนใช้มือข้างหนึ่งกอดเตาอุ่นใบเล็กไว้กับอก และใช้มืออีกข้างกุมมือที่บีบแน่นของไทเฮา แล้วเอ่ยถามเสียงนุ่มด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ไทเฮาตบหลังมือขาวใสจนมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวของท่านอ๋องหนุ่ม ริมฝีปากที่เม้มแน่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มปลอบใจภายในชั่วพริบตา “ไม่มีอะไร จะมีอะไรได้เล่า ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่านี้ เมื่อมาถึงย่าแล้ว ย่าจะช่วยจัดการแทนเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องตกใจจนหลับไม่สนิทกระทั่งล้มป่วยอีกเล่า เด็กดี เชื่อย่านะ ไม่ต้องตกใจ”
อ๋องหนุ่มยิ้มบางๆ ผงกศีรษะรับอย่างว่าง่าย “พ่ะย่ะค่ะ หลานจะไม่ตกใจ”
มู่ไคเวยที่สวมชุดขุนนางสีดำปลอดตามนางกำนัลเข้ามาในห้องแสดงธรรม สิ่งที่นางเห็นคือภาพแห่งความผูกพันและความสุขของย่าหลานที่เกาะกุมมือและส่งยิ้มให้แก่กัน
นางก้มศีรษะและคุกเข่าลงข้างหนึ่งเป็นการแสดงคารวะ “ผู้น้อยมู่ไคเวย คารวะไทเฮาและคังอ๋องเพคะ”
“เอ๋? เจ้า เจ้า…เสี่ยวมู่จื่อมิใช่หรือ อ้อ ข้านึกได้แล้ว บิดาเจ้าเป็นมือปราบเทวดาที่ทำงานควบหน่วยหยาเหมินของสามตุลาการจนต่อมาเจ้าพาคนไปคลี่คลายคดีปลอมเงินกับไฟไหม้ที่ทางใต้ของเมืองสำเร็จ ภาระของหน่วยประตูหกบานจึงมาอยู่บนไหล่เจ้าแทน”
ไทเฮานึกย้อนแล้วตบขาเบาๆ สีหน้าทวีความอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
“บิดาเจ้ากับเจ้าเคยเข้าวังไปรับพระราชทานรางวัลหลายครั้ง ข้าย่อมเคยเห็นเจ้าและยังกล่าวชื่นชมเจ้าด้วย ตอนนั้นข้ายังบอกทุกคนเลยว่าเสี่ยวมู่จื่อแห่งสกุลมู่ช่วยกอบกู้หน้าให้สตรีราชวงศ์เทียนเฉาของพวกเรา เจ้าน่าจะจำได้กระมัง”
“พรืด…แค่กๆ” เสียงคล้ายหลุดหัวเราะเบาแสนเบาดังมา ทว่าเจ้าของเสียงรีบกดมันไว้ทำให้ได้ยินไม่ถนัดว่าเขากำลังกลั้นหัวเราะหรือแอบไอกันแน่