“ไทเฮา! ไทเฮา!”
“ไทเฮาทรงพระทัยเย็นไว้ เย็นไว้ก่อน!”
“เสี่ยวหลี รีบเอายาลูกกลอนขวดสีฟ้าของหมอหลวงหลี่มาเร็ว!”
“อยู่นี่ๆ!”
“รีบเทยาเม็ดหนึ่งออกมาป้อนไทเฮาก่อน ยังมียาขวดสีม่วงด้วย เปิดเร็วๆ สิ!”
“ได้ๆ! โอ๊ะ…”
มู่ไคเวยรับฟังเสียงความวุ่นวายที่ด้านหลังอย่างสงบ สายตาจ้องตรงไปยังภิกษุที่มีสมญานามว่ากวนทั้งห้าคน
นางพอจะมองออกว่ากวนจื่อที่มีอาวุโสสูงที่สุดกับกวนชินที่มีอาวุโสน้อยสุดไม่เหมือนคนที่รู้วรยุทธ์ แต่กวนจีกับคนที่เหลืออีกสองคนไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ หากพวกเขาสามคนร่วมมือกัน…นางจะมีโอกาสชนะเท่าไรกันนะ
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มนุ่มของบุรุษดังมา
“เสี่ยวหลี ส่งขวดยาให้ข้า เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ความวุ่นวายโดยรอบก็คล้ายจะสงบลงได้ชั่วขณะหนึ่ง ทำให้มู่ไคเวยอดปรายตาไปมองอย่างรวดเร็วไม่ได้
นางเห็นไทเฮาพิงร่างอยู่กับอกของพระราชนัดดา…คังอ๋อง พอนางข้าหลวงเปิดขวดยาสมุนไพรได้แล้วก็วางขวดยาใส่มือคังอ๋อง เวลานี้ไทเฮายังไม่หมดสติแต่สีหน้าแย่มาก ส่วนคังอ๋อง…มู่ไคเวยเหลียวไปมองก็เพียงศีรษะที่ก้มต่ำของชายหนุ่มกับเรือนผมสีดำขลับดุจเส้นไหมที่สวมรัดเกล้าหยกมุกและทิ้งตัวให้สยายคลุมบ่า
“เสี่ยวมู่จื่อ…เสี่ยวมู่จื่อ…” ไทเฮาสูดกลิ่นยาสมุนไพรโดยมีนางกำนัลช่วยลูบหลังและนวดเฟ้นตามจุดต่างๆ ให้ นางช้อนตาขึ้นเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
มู่ไคเวยก้มศีรษะรับคำ “ทรงหลบอยู่ข้างหลังก่อน ไม่ต้องตกพระทัยนะเพคะ”
นางพูดยังไม่ทันจบคำ กวนจีก็นำศิษย์น้องลำดับห้าและหกลงมือแล้ว
เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดยิ่ง
มู่ไคเวยเดาความคิดของฝ่ายตรงข้ามได้นานแล้ว เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ก็ไม่อาจหนีได้อีกต่อไป วิธีที่ดีที่สุดคือจับผู้สูงศักดิ์ทั้งสองเป็นตัวประกัน เพราะไทเฮาและคังอ๋องย่อมเป็นยันต์คุ้มภัยชั้นยอด สามารถทำให้พวกเขาค่อยๆ เจรจาต่อรองกับราชสำนักได้โดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหาทางรอดเอาเอง
ทว่ามู่ไคเวยกลับถ่วงเวลาเอาไว้ได้ ขณะที่พวกเขาไม่อาจปล่อยให้เวลาล่วงเลยได้อีกต่อไป