กวนชินอาศัยช่วงที่อารามเป่าหวากำลังโกลาหลแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มภิกษุที่ไม่รู้เรื่อง กับผู้ที่มีจิตศรัทธา ทำให้สามารถหลบหนีไปได้สำเร็จ หน่วยประตูหกบานจับเป็นกวนจีได้ แต่ภิกษุที่มีสมญานามว่ากวนอีกสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกมู่ไคเวยแทงเข้าที่อกและฟันไหล่จนแขนขาด เป็นเหตุให้ไม่นานก็เสียชีวิต
บุคคลที่เป็นตัวการสำคัญของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดคือกวนจื่อ ตอนมู่ไคเวยเห็นเขาอีกครั้ง เขาก็ล้มลงไปเพราะถูกธนูของหน่วยประตูหกบานปักอยู่บนหน้าอกถึงสามดอก โลหิตสดไหลรินไม่หยุด คาดว่าคงรอดยาก
หยวนเต๋อต้าซือนั่งแปะอยู่ข้างกายกวนจื่อ แผ่นหลังคุ้มงอมากกว่าเดิม
กวนจื่อดึงแขนเสื้อของอาจารย์ เปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก “ทั้งหมดเราทำไปเพื่อท่าน…อาจารย์เป็นผู้ถอดความพระคัมภีร์ที่ดีที่สุด มีเพียงหนึ่งเดียว และจะไม่มีผู้ใดทำได้อย่างท่านอีก…พระไตรปิฎกยังไม่ได้รับการถอดความอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากอาจารย์ ในอารามเป่าหวาแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดทำได้…ขอเพียงอาจารย์ยังมีชีวิต จะต้องมีผู้มีจิตศรัทธามากมาย แต่อาจารย์ชราแล้ว…ชรามาก คนคนนั้นบอกว่า…สามารถทำให้คนตายฟื้นคืน…จะช่วยให้อาจารย์มีชีวิตอยู่อีกสิบปี ยี่สิบปี ไปจนถึง…”
“คนผู้นั้นเป็นใคร” มู่ไคเวยพลิกใบหน้าเปื้อนโลหิตของกวนจื่อให้หันมา “ท่านร่วมมือกับผู้ใด” สีหน้าและน้ำเสียงของนางดุดัน
กวนจื่อจ้องหน้าหญิงสาวอย่างอึ้งๆ เขาอ้าปากกระอักเลือดออกมามากมายจนพูดไม่ได้อีก ลมหายใจขาดห้วง สองตาปิดสนิทลง
ครั้งนี้หน่วยประตูหกบานปฏิบัติภารกิจสำเร็จ และพบบรรดาสตรีที่ถูกลักพาตัวไปก่อนหน้านี้ในห้องใต้ดินของเรือนด้านหลังอารามเป่าหวาที่ถูกทิ้งร้างไว้หลายปี แต่ยังขาดอยู่อีกสองคน
กวนจีที่ยังมีชีวิตอยู่จึงกลายมาเป็นนักโทษเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีลมหายใจของหน่วยประตูหกบาน และเป็นไปอย่างที่มู่ไคเวยคิดไว้ว่าตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้ก็คือกวนจื่อ คนที่ใช้สมองวางแผนคือกวนชิน ส่วนกวนจีรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วย หน่วยประตูหกบานใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งอย่างต่อเนื่อง แต่กลับล้วงเบาะแสจากปากของกวนจีมาได้ไม่มาก
ระหว่างที่มู่ไคเวยกำลังวิ่งรอกสืบคดีให้วุ่นจนต้องทิ้งเรื่องสมรสพระราชทานของไทเฮาเอาไว้ด้านหลัง คืนหนึ่ง พ่อบ้านชราของครอบครัวนางก็มาตาม บอกว่าบิดาของมู่ไคเวยอยากให้นางกลับจวน
ทันทีที่เร่งเข้าจวนมา มู่ไคเวยก็พบว่าบิดาผู้ไม่เคยแสดงสีหน้าว่าชอบชังหรือเจ็ดอารมณ์ กำลังนั่งด้วยท่าทีที่น่าเกรงขามอยู่ในห้องโถง ท่าทางกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เต็มไปด้วยความลำบากใจอย่างยิ่งยวด
“วันนี้พ่อถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ทรงให้พ่อไปพบที่ตำหนักจ้งหยวนเพื่อสนทนากัน”
“ถึงท่านพ่อจะลาออกจากการเป็นมือปราบเทวดา และปลดประจำการจากกลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบานแล้ว แต่ท่านยังคงเป็นสมาชิกของสามตุลาการของราชสำนักเรา การที่ฮ่องเต้ทรงเรียกท่านเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์เช่นนี้ เพราะในวังมีปัญหาอะไรหรือ” สมองของหญิงสาวอัดแน่นไปด้วยเรื่องคดี
บิดานางเงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยตอบ “ในวังไม่มีปัญหา แต่บ้านเรามีปัญหา” นิ้วที่เคาะเข่าอยู่รวบกำเป็นหมัด “ไทเฮามีพระเสาวนีย์ยกเจ้าให้เป็นชายาเอกคังอ๋อง ฮ่องเต้จึงเรียกพ่อเข้าวังเพื่อคุยเรื่องนี้”
คำว่า ‘คุย’ ความจริงคือการแจ้งให้ทราบ
การที่บิดานางถูกฮ่องเต้เรียกให้ไปเข้าเฝ้าเพื่อ ‘แจ้งข่าว’ ว่าทั้งหมดนี้เป็นพระประสงค์ของไทเฮาที่พระราชทานสมรสต่อหน้าธารกำนัล พระองค์จึงต้องรักษาสัจจะด้วยการจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย