ชายหนุ่มยิ้มแล้ววางมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าอกเพื่อแสดงการคารวะไปทางประตูที่ผู้อาวุโสหญิงเดินออกไป ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสแผ่วเบาว่า
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสมากขอรับ”
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวงซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนสกุลมู่ เรือนพักของคุณหนูกับนายท่านมีการจุดประทีปขึ้นอีกครั้งในยามดึกสงัด
อากุ้ย อาฝู และลุงลู่กลับมาที่บ้านอย่างไร้ผลงาน ทำให้ตอนที่ผู้เฒ่าทั้งสามกล่าวคำรายงานต่อมู่เจิ้งหยาง หัวคิ้วพวกเขาจึงคอยแต่จะขมวดมุ่นและหน้าแดงเพราะความโกรธตลอดเวลา
มู่เจิ้งหยางไม่ได้ตำหนิผู้เฒ่าทั้งสามเนื่องจากการที่คนร้ายสามารถลอบเข้าจวนสกุลมู่ได้อย่างเงียบกริบย่อมแสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถอย่างไม่อาจดูแคลน ต่อให้บรรดาบ่าวรับใช้อาวุโสในบ้านปราดเปรียวเหี้ยมเกรียมกันเพียงใด ทว่าแต่ละคนก็อายุมากแล้ว กำลังภายในย่อมสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ทำให้คนร้ายหลบหนีไปได้สำเร็จ
มู่เจิ้งหยางกับมู่ไคเวยต้องคอยพูดปลอบจนผู้เฒ่าทั้งสามคนรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว แต่ละคนจึงกลับไปพักที่เรือนของตน
จังหวะนี้เอง มู่ไคเวยจึงเล่าเรื่องที่นางเคยประมือกับเฮยซาน และเคยไล่ตามเขาไปจนถึงนอกกำแพงสูงของจวนคังอ๋องให้มู่เจิ้งหยางฟังอย่างละเอียด
มู่เจิ้งหยางที่นั่งอยู่ในห้องโถงเล็กนิ่วหน้าและเงียบเสียงระหว่างที่บุตรสาวพูดว่า “ท่านพ่อ เราอาจใช้เฮยซานหาเบาะแสของผู้อาวุโสหญิงท่านนั้นได้ เพราะดูเหมือนเขาจะมีส่วนเกี่ยวพันกับจวนคังอ๋อง ข้าจึงอยากเข้าไปสืบข้อมูลอย่างละเอียดในจวนคังอ๋อง” หญิงสาวนั่งตัวตรง สูดลมหายใจเข้าปอดลึก “รบกวนท่านพ่อตอบรับและขอบพระทัยฮ่องเต้เรื่องงานสมรสพระราชทานของไทเฮาแทนข้าด้วย เวยเอ๋อร์ยินดีแต่งงานเจ้าค่ะ”
มู่เจิ้งหยางตบพนักที่เท้าแขน ดวงตาวาวโรจน์ “การเข้าไปสืบหารายละเอียดในจวนคังอ๋องยังมีวิธีอื่น ผู้ใดบีบเจ้าให้ต้องแต่งงานกับคังอ๋องกัน”
มู่ไคเวยส่ายหน้าพลางยิ้มนิดๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เรื่องนี้ไม่ใช่การบังคับแต่ง แต่การที่ท่านพ่อไม่ยอมน้อมรับพระบัญชาของฮ่องเต้สักทีเช่นนี้ อาจทำให้ครอบครัวเราถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำนักถึงได้ไม่ยอมน้อมรับการแต่งงานในครั้งนี้”
หากฮ่องเต้พิโรธและไทเฮามีความรู้สึกเหมือนถูกตบพระพักตร์ อาจยกความผิดสักข้อหาให้สกุลมู่ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เรื่องนี้ ใช่ว่าบิดาของนางจะไม่เข้าใจ แต่เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสุขของนาง บิดาของมู่ไคเวยจึงไม่อาจตัดใจ แล้วนางจะปล่อยให้บิดาต้องเป็นกังวลเช่นนี้ได้อย่างไร