ฟู่จิ่นซีหันไปมองหญิงสาวเป็นเชิงหารือ “หรือจะให้หลีอ๋องพักอยู่ที่จวนสักคืน? ให้เขาหลับให้เต็มอิ่มแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“ฮ่าๆๆ ถ้าพี่จิ่นซีทำเช่นนี้จริง พรุ่งนี้สำนักตรวจการต้องโกลาหลแน่” น้ำเสียงใสแจ๋วดังมาจากด้านนอก ผู้พูดเป็นเด็กชายอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เขาก้าวยาวๆ เข้ามาพลางบอก “พวกขุนนางจำนวนแปดส่วนต้องเอาเรื่องเล็กเท่าเม็ดถั่วเม็ดงาแค่นี้ไปกราบทูลเป็นแน่ว่าถึงแม้คังอ๋องรู้ดีว่าองค์ชายห้าขัดพระบรมราชโองการแต่ยังซุกซ่อนให้เขาค้างแรมในจวน”
กล่าวจบ เด็กชายผู้สวมชุดปักดิ้นทองหน้าตาหล่อเหลาก็หันไปส่งยิ้มให้บรรดาแขกสตรีเป็นการทักทายก่อนสุดท้ายสายตาของเขาจะมาหยุดอยู่ที่ชายาหลีอ๋องผู้ตกใจจนหน้าซีด เด็กชายถอนหายใจ “พี่สะใภ้ห้า เวลานี้สิ่งที่ท่านควรทำคือรีบพาพี่ห้ากลับจวนไปจะดีกว่า เพราะเรื่องที่พี่ห้ามาดื่มสุราจนเมาในงานเลี้ยงที่จวนคังอ๋องแล้วเข้ามาอาละวาดในห้องหอคงปิดไม่อยู่อีก พอพี่ห้าสร่างเมาเมื่อไรก็เร่งให้เขาเขียนฎีกาขออภัยโทษจากเสด็จพ่อฉบับหนึ่ง ท่านต้องจำเอาไว้ให้ดีและเตือนพี่ห้าด้วย”
ชายาหลีอ๋องพยักหน้ารับอย่างตื่นๆ เด็กชายจึงหันไปยักคิ้วให้ฟู่จิ่นซีอย่างซุกซน “วันนี้เป็นวันแต่งงานของพี่จิ่นซี ในที่สุดหลังได้รับพระราชทานสมรสมาสามครั้ง ท่านก็ทำสำเร็จจนได้ ดังนั้นท่านต้องทำตัวเป็นเจ้าบ่าวที่ดี ส่วนเรื่องอื่นๆ ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
ฟู่จิ่นซียิ้มนิดๆ แต่ไม่ตอบ เด็กชายจึงสรุปว่าเขาอนุญาต
ขณะต่อมา เด็กชายก็ปรบมือดังๆ สองครั้งแล้วองครักษ์สองคนที่อยู่นอกห้องก็เข้ามาอย่างว่องไว พวกเขาแบกหลีอ๋องที่เมาหนักทั้งยังถูกซ้อมจนหน้ามืดออกไปอย่างเงียบกริบและรวดเร็ว
ชายาหลีอ๋องเห็นดังนั้นก็รีบตะเกียกตะกายตามไป นางหอบหายใจพูดเสียงสั่น “…นะ นี่จะไปที่ใด จะไปที่ใดกัน?!”
เด็กชายพูดเสียงอ่อนโยน “พี่สะใภ้ห้าตามองครักษ์สองคนนี้ไปได้เลย รถม้าจอดรออยู่ด้านหลังนอกจวนคังอ๋อง ขอเชิญพี่สะใภ้กับพี่ห้าไปกันก่อน ข้าจะอยู่จัดการคนทางนี้สักครู่แล้วจะไปส่งพวกท่านกลับจวนหลีอ๋องก่อนกลับวัง”
ชายาหลีอ๋องรับคำ นางไม่มีแก่จิตแก่ใจจะบอกลาใคร หรือมองเหล่าพระญาติหญิงสักแวบหนึ่ง ได้แต่เดินออกจากห้องหอไปอย่างโซซัดโซเซเล็กน้อย โดยมีสาวใช้สองคนที่ไม่สามารถเข้าไปด้านในจึงต้องรออยู่ที่นอกห้อง ช่วยประคองนางซ้ายขวาเพื่อพาจากไป
“เสร็จพิธีแล้ว เช่นนั้น…พวกเราไปร่วมงานเลี้ยงที่โถงหน้ากันดีหรือไม่”
“จริงด้วยๆ ยากนักกว่าที่คังอ๋องจะได้เป็นเจ้าบ่าว การที่ท่านไม่กลับไปร่วมงานเลี้ยงที่โถงหน้าแต่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าสาวเช่นนี้ก็ดีแล้ว ดีมากๆ ด้วย”
“เช่นนั้นพวกเราอย่าอยู่เป็นก้างที่นี่อีกเลย โบราณกล่าวไว้ว่าราตรีวสันต์มีค่าพันตำลึงทอง ให้คู่บ่าวสาวเขาได้มีความสุขร่วมกันดีกว่า พวกเราขอลาก่อน ไม่รบกวนแล้ว”
พวกแขกสตรีที่เข้ามาป่วนห้องหอแย่งกันออกไปจากห้องหอที่โดนป่วนอย่างสุดๆ ด้วยรอยยิ้มแข็งค้าง พลางหาเรื่องคุยไปเรื่อย เพียงชั่วพริบตา พวกนางก็หายออกจากห้องไปกันหมด โดยเฉพาะเจ้าพิธีที่ราชสำนักส่งตัวมายิ่งไม่เหลือให้เห็นแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าเขาเผ่นหายไปตั้งแต่เมื่อใด
เวลานี้ ในห้องหอจึงเหลือแค่คู่บ่าวสาว กับสาวใช้ในจวนคังอ๋องที่รับหน้าที่เป็นแม่สื่อจำนวนสองคน และหลันกูกูที่ติดตามมาจากสกุลมู่ซึ่งยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงมุมห้องตลอดเวลา
ทุกคนต่างเข้าใจว่าที่เด็กชายยังคงรั้งอยู่เพราะอยากพูดเรื่องสำคัญ แต่กลับเห็นเขาเอาแต่เม้มปาก สีหน้าท่าทางเหมือนคนที่กำลังตื่นเต้นดีใจมาก เด็กชายเดินเข้าไปหาเจ้าบ่าวก้าวหนึ่งก่อนหันไปหาเจ้าสาว และยิ้มกว้างอวดฟันขาวให้มู่ไคเวย