“ชายาห้า ดูเจ้าพูดเข้าสิ วันนี้เป็นวันมงคลของคังอ๋อง เจ้าก็เลิกพูดเหน็บแนมคังอ๋องกับเจ้าสาวได้แล้ว เกิดเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งเข้ามาหนีไป ดูสิว่าเจ้าจะไปอธิบายกับไทเฮาอย่างไร” ในฐานะสะใภ้เหมือนกัน ชายาเอกขององค์ชายสี่ ชิ่งอ๋องจึงพูดเตือนอย่างกึ่งหยอกเย้ากึ่งเอาจริง
เสียดายที่ชายาหลีอ๋องเป็นพวกสอนไม่ได้ ซ้ำยังระเบิดโทสะออกมาเหมือนประทัดแตก “ให้พูดก็พูดสิ! แค่ใช้ปากอย่างเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ?! ต่อให้หน่วยประตูหกบานส่งคนมาสอบต่อหน้าพระพักตร์ ข้าก็ยังจะพูดเช่นเดิม เพราะความจริงย่อมเป็นความจริง มีอะไรน่ากลัวกัน?!”
“อยากให้หน่วยประตูหกบานส่งคนมาสอบหรือ ได้สิ” ผู้พูดคือมู่ไคเวย
นางพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงเนิบๆ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แต่พอจะลงมือก็พลันรู้สึกได้ว่าในมือยังมีจอกน้ำเต้าอยู่ นางจึงปรายตาไปมองเจ้าพิธีที่ไม่รู้ว่าถอยหลังออกไปห่างๆ ตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นจึงเอ่ยถาม “พิธีเสร็จสิ้นแล้วใช่หรือไม่” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง “เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ ข้ากำลังถามเจ้า”
เจ้าพิธีที่คิดว่าจะถอยออกไปจากสมรภูมิเงียบๆ ตัวสั่นเทิ้มทันทีที่ถูกเรียก เขาตอบเสียงดังฟังชัด “พิธีเสร็จสมบูรณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
มู่ไคเวยผงกศีรษะ “ดีมาก”
แม่สื่อที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างรีบเข้ามาเก็บจอกสุราจากคู่บ่าวสาว เท้าทั้งสองข้างของมู่ไคเวยที่นั่งอยู่บนเตียงห้ามสัมผัสถูกพื้น นางจึงเหยียบที่วางเท้าแล้วค่อยทิ้งตัวลงมา
หญิงสาวจ้องหน้าชายาหลีอ๋องที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือย “เมื่อสามเดือนก่อน หลีอ๋องเมาสุราแล้วไปพูดพล่ามเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ทำให้ฮ่องเต้กริ้วจึงทรงลงพระอาญากักบริเวณหลีอ๋อง เท่าที่ข้ารู้ พระบัญชากักบริเวณยังไม่ได้ถูกยกเลิก พระชายากับหลีอ๋องมิต้องร่วมแรงร่วมใจ อยู่คู่เคียง รับโทษร่วมกันหรือ เหตุใดวันนี้ท่านจึงแต่งหน้าแต่งตัวเฉิดฉายมาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าผู้คน ทั้งยังบอกว่าไม่กลัวถูกสอบต่อหน้าพระพักตร์ด้วย? แผนการของชายาหลีอ๋องทำให้ข้าคันไม้คันมือ อยากจับกุมคนจริงๆ”
“เจ้า เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน” ใบหน้าที่ได้รับการตบแต่งจนสวยพริ้งของชายาหลีอ๋องบิดเบี้ยว
“ข้าพูดเหลวไหลที่ใด ขอให้พระชายาหลีอ๋องช่วยชี้แนะด้วย”
“เรื่องที่ข้าบอกว่าไม่กลัวถูกสอบต่อหน้าพระพักตร์ ก็คือเรื่อง…เรื่องคังอ๋องมีบุญ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพยายามโยง หากเจ้าใส่ความข้า เจ้าต้องได้รับโทษแน่”
“ชายาห้าพอได้แล้ว!” ชายาชิ่งอ๋องพูดเสียงดุกว่าเดิม