เหล่าเซวียไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่จึงก้มหน้า ระบายลมหายใจ “เฮ้อ วันนั้นพระชายามาถามข้าเรื่องที่ซานชวนโข่ว ท่านอ๋อง ข้าอึดอัดคับใจ อยากจะเล่าเรื่องความกล้าหาญของมารดานางให้ฟังอย่างหมดไส้หมดพุงจริงๆ! แต่ในเมื่อท่านอ๋องไม่พูด ข้าก็พูดไม่ได้ มันทรมานเหลือเกิน หวังว่าเราคงไม่ต้องทำเช่นนี้กันนานนะขอรับ”
“…ข้ารู้แล้ว” คำบ่นของเหล่าเซวียฟ้องว่าความผิดทั้งหมดอยู่ที่เขา ฟู่จิ่นซีจึงต้องรับฟังคำสั่งสอนอย่างสงบ
“ยังมีอีกเรื่องคือยายเฒ่าเซียนพิษคนนั้นบอกว่านอกจากเรื่องที่ซานชวนโข่วแล้ว ดูเหมือนพระชายากำลังสืบหาตัวใครคนหนึ่ง”
ตอนแรกฟู่จิ่นซีจะบอกให้เหล่าเซวียเรียกสตรีคนนั้นใหม่ว่าผู้อาวุโส แต่พอได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย หัวใจของเขากลับกระตุกจนต้องเอ่ยถาม “ใคร”
เหล่าเซวีย “เจ้าแม่พิษบอกว่าสองสามวันนี้ พระชายาแอบมองบ่าวรับใช้ทุกคนในจวน แม้แต่คนดูแลบ้านไม่ว่าจะตำแหน่งเล็กใหญ่ก็ยังไม่เว้น นางสอบแล้วสอบอีก โดยเฉพาะคนที่เป็นชายหนุ่ม รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดีและมีผมดำยาวจะถูกนางสอบหนักเป็นพิเศษ…เจ้าแม่พิษบอกว่าพวกคนในจวนที่ถูกเพ่งเล็งล้วนมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับท่านอ๋องมาก บางที…นางอาจจะกำลังหาตัวท่านอ๋อง”
“ข้าหรือ?!”
“ท่านอ๋องคงไม่ได้ออกไปแสดงฝีมือไว้มากจนถูกสะกดรอยใช่หรือไม่”
“ข้า…ไม่ได้ทำ…” เขาสลัดนางทิ้งจนไกลลิบแล้วค่อยกลับจวนมิใช่หรือ
เหล่าเซวียโบกมือ “ช่างเถอะ ไม่ว่าจะทำจริงหรือไม่ ท่านอ๋องก็ต้องรีบสารภาพความจริงทั้งหมดออกไป พระชายาเคยทำงานอะไร ใช่ว่าท่านอ๋องจะไม่รู้ ยิ่งนางตามสืบชนิดกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องรู้ความจริงแน่นอน”
ศีรษะของท่านอ๋องลดต่ำมากขึ้น “ข้า…เข้าใจแล้ว”
ทันใดนั้น
“เข้าใจเรื่องอะไรหรือ” เสียงดังมาจากนอกห้อง
เมื่อมู่ไคเวยก้าวยาวๆ เข้ามาในเรือนหลัก ก็เห็นคังอ๋องมีอาการคอตกอย่างหมดอาลัยตายอยาก โดยมีเหล่าเซวียคอยปลอบใจอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ไม่รู้ว่ากำลังปลอบกันเรื่องอะไร