มู่ไคเวยอดคิดไม่ได้ว่าอ๋องหนุ่มผู้นี้ช่างใช้ชีวิตอย่างแสนสบายเหลือเกิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ใด เขายังไม่คิดจะถาม ทั้งที่หัวหน้าพ่อบ้านของจวนเขากับบ่าวหญิงคนสนิทของนางไม่ถูกกัน ฟู่จิ่นซีก็ยังไม่ถามถึงเหตุผล แต่ปล่อยให้ทั้งสองคนลงไม้ลงมือกันตามสบาย
“ท่านอ๋องไม่ได้ถามหรือ”
ฟู่จิ่นซีหยุดคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่งพลางกลอกตาไปมา “เอาไว้ให้พวกเขาสองคนตีกันเสร็จแล้ว ยังมีปัญหาที่สะสางกันไม่ได้อยู่อีก ข้าค่อยถาม”
มู่ไคเวยทั้งฉิวทั้งขำ จนนึกอยากซัดชายหนุ่มสักทีเหมือนเวลาที่นางต่อยตีกับพวกพี่น้องในหน่วยประตูหกบานแบบเจ้าหนึ่งหมัด ข้าหนึ่งหมัด แต่ถ้านางซัดฟู่จิ่นซีหนึ่งหมัดจริงๆ ต่อให้ออมแรงเอาไว้เพียงใดก็เกรงว่าเขาคงอาการสาหัสอยู่ดี ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนจากทุบเป็นหยิกแขนอย่างไม่หนักไม่เบาทีหนึ่งแทน
ฟู่จิ่นซีมองรอยที่ถูกหยิกนิ่งๆ แล้วช้อนตาขึ้นมองหญิงสาว
“โอ๊ย…” เขาร้องโอยด้วยความเจ็บจริงๆ
มู่ไคเวยขำกับสีหน้าใสซื่อจนเซ่อของชายหนุ่ม
เห็นนางยิ้ม รอยยิ้มของเขาจึงแผ่กว้างขึ้น พลางพูดเสียงเนิบ “ตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ ไม่เคยมีใครหยิกข้ามาก่อน แต่พระชายากลับหยิกข้า…ข้าเจ็บแต่รู้สึกดีเหลือเกิน ข้าชอบมากเลย”
“วันใดที่ข้าซ้อมท่านจริงๆ ดูสิว่าท่านยังจะพูดเช่นนี้อีกหรือไม่” มู่ไคเวยเย้า
ฟู่จิ่นซีตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิด “นั่นย่อมแสดงว่าข้าต้องทำผิดก่อน”
มู่ไคเวยพูดไม่ออกทันที และนึกอยากยกมือขึ้นกดหน้าอกตัวเอง เพราะดูเหมือนหัวใจในอกจะกระเด้งกระดอนแรงเกินไป
ฟู่จิ่นซียิ้ม ระยะนี้เขาเปลี่ยนเป็นยิ้มง่ายมากขึ้น ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้องนอน “วันนั้นพระชายาถามข้าว่าสามารถปรับเปลี่ยนห้องนอนได้หรือไม่แล้วข้าบอกไม่มีความเห็นต่าง เจ้าชอบเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้น วันนี้หลันกูกูเลยพาช่างไม้หญิงสองคนเข้ามา ไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็พากันออกไป ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าพระชายาจะแต่งห้องใหม่อย่างไร แต่เท่าที่เห็น…อืม ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนี่นะ”